เมื่อวันคริสต์มาสเวียนมาถึง สตีฟ ฟินช์ (Matthew Broderick) ก็มักจะได้รับมอบหมายให้ช่วยจัดการงานวันคริสต์มาสประจำเมือง แต่แล้วด้วยการมาของบั๊ดดี้ ฮอลล์ (Danny DeVito) ก็ได้ทำให้หน้าที่ของสตีฟโดนแย่งไป แล้วบั๊ดดี้ยังประกาศออกไปว่าเขาจะประดับไฟตรงบ้านในช่วงเทศกาลให้มันสว่างจ้าจนเห็นได้จากอวกาศเลย
แน่นอนว่าสตีฟเลยรู้สึกเหมือนโดนหยามครับ พวกเขาเลยกลายเป็นคู่กัดที่คอยแกล้งคอยขัดขวางกันและกัน แล้วแบบนี้เรื่องวุ่นๆ จะไปจบลงตรงไหนหนอ
ก็เป็นหนังเบาสมองวันคริสต์มาสครับ ซึ่งผมก็ว่าจะดูๆ อยู่หลายหนมากๆ ตั้งแต่มันออกแผ่นมา แต่กลายเป็นว่ากว่าจะได้ดูก็เกือบ 20 ปีแน่ะ ส่วนผลลัพธ์ก็ถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ ก็เป็นไปตามคาดว่าหนังคงเน้นไปที่เรื่องตลกโปกฮา แล้วก็ลีลาการกัดกันแกล้งกันของสตีฟและบั๊ดดี้ แล้วก็เดาได้อีกเช่นกันว่ายังไง๊ยังไงตอนจบมันก็ต้องจบแบบแฮปปี้ นั่นคือสตีฟกับบั๊ดดี้จะต้องสงบศึกแล้วก็จับมือกันเพื่อทำอะไรสักอย่างตามแต่บทหนังจะพาไป ก็เรียกว่าลงสูตรครบถ้วนครับ
ดารานั้นแสดงดีอยู่แล้วครับ ทั้ง Broderick และ DeVito นี่ก็หายห่วงได้เลย ส่วนเรื่องความตลกนั้นก็ถือว่ากลางๆ ครับ คือไม่ได้ฮาอะไรมาก แต่เท่าที่ดูก็รู้น่ะครับว่าผู้กำกับ John Whitesell ก็พยายามจะทำให้มันขำ แต่ของแบบนี้มันต้องพอดีทั้งจังหวะและลูกเล่น ซึ่งดาราน่ะดีครับ แต่มุกต่างๆ มันยังไม่ถึงขั้นฮาแตก ซึ่งจริงๆ ก็เห็นใจอยู่ครับ เพราะมุกตลกที่เกิดจากการแกล้งกันนั้นมันต้องใช้กำลังภายในเยอะอยู่เหมือนกันนะ ถ้ากำลังถึงมันก็จะฮาได้ แต่เท่าที่เป็นนี่ถือว่ากลางๆ ครับ คือพอสัมผัสได้ถึงความพยายาม แต่ยังไม่ถึงขั้นขำ
หนังสไตล์นี้นี่ผมจะนึกถึง Jingle All the Way เสมอครับ ผมว่าอันนั้นฮาได้เรื่อยๆ นะ สนุกกว่าพอตัว
ส่วนช่วงท้ายที่หนังต้องลงเอยด้วยโทนอบอุ่น โทนสมัครสมานสามัคคีสไตล์วันคริสต์มาสก็ถือว่าพอได้ครับ แต่ก็ยังไม่สุดอีกเช่นกัน เรียกว่าโดยรวมแล้วหนังอยู่ในระดับเรื่อยๆ กลางๆ ยังไม่สุด แต่อย่างน้อยก็ไม่แย่ล่ะครับ แค่ยังไม่จับใจแบบเต็มๆ เท่านั้น แต่ก็พอดูเพลินๆ ได้
งานสร้างน่ะดีครับ ซึ่งก็ไม่แปลกใจเพราะทุนสร้างน่ะปาเข้าไป $51 ล้าน ก็ต้องถือว่าไม่น้อยเลยสำหรับหนังแนวนี้ และงานดนตรีของ George S. Clinton ก็ถือว่าไม่เลวสำหรับหนังคริสต์มาสแบบนี้
ข้อคิดสำคัญของหนังก็คือ บางครั้งคนเราก็หมกมุ่นไปกับอะไรที่จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้สำคัญที่สุด อย่างบั๊ดดี้ที่ทุ่มเททุกอย่างเพื่อจะทำให้ไฟที่บ้านสว่างที่สุด แต่กลายเป็นว่ายิ่งเขาทำมันมากเท่าไหร่ คนรอบตวเขาก็เริ่มไกลห่างจากเขาไปมากเท่านั้น
หรือสตีฟเองก็เถอะ การที่เขาเอาแต่หมกมุ่นว่าจะต้องเป็นที่หนึ่งในเรื่องคริสต์มาสเท่านั้น หรือความอยากเอาชนะบั๊ดดี้ นั่นก็ดึงเขาให้ห่างจากครอบครัวเช่นกัน – ผมชอบตอนที่เคลลี่ (Kristin Davis) ภรรยาของสตีฟพยายามบอกกับเขาว่า จริงๆ แล้วเรื่องพวกนั้นมันไม่ได้สำคัญเลย แต่สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือการสร้างความทรงจำดีๆ กับคนในครอบครัว อย่างลูกสาวของเขาแม้จะทำตัวห่างเหินตามประสาวัยรุ่น แต่ใจจริงก็อยากให้พ่อสนใจ เช่นเดียวกับลูกชายคนเล็กที่จริงๆ แล้วก็อยากไปซื้อของตกแต่งวันคริสต์มาสกับพ่อ – อะไรเหล่านี้ต่างหากคือสิ่งสำคัญในวันคริสต์มาส ไม่ใช่หน้าตา ความเด่น หรือไฟประดับอะไรทั้งสิ้น
และกว่าที่สตีฟกับบั๊ดดี้จะตระหนักได้ คนในครอบครัวของพวกเขาก็พากันออกไปเช่าห้องที่โรงแรมอยู่ แล้วปล่อยให้ทั้งคู่อยู่บ้านคนเดียว – ตอนนั้นแหละครับพวกเขาถึงตระหนัก ตอนนั้นแหละที่พวกเขาถึงจะได้ยินในสิ่งที่ครอบครัวพยายามบอก
บางทีเสียงไหนๆ ก็ไม่ดังเท่าความเงียบของบ้านที่ว่างเปล่า…
ผมชอบหนังวันคริสต์มาสก็ตรงนี้แหละครับ มันจะดีมากดีน้อย สนุกมากสนุกน้อยอย่างไรก็ตาม แต่ยังไงมันก็ต้องมีโมเมนต์แบบนี้ มีสาระดีๆ มีความอบอุ่นมาขึ้นจอให้เราได้ดูกัน – กับเรื่องนี้ก็ใช่ครับ หนังสรุปเรื่องได้ดี (แม้ฉากจบจะห้วนไปหน่อยก็ตาม) และยังสามารถคงหัวใจสำคัญของวันคริสต์มาสไว้ได้อยู่
เอาเป็นว่าคอหนังคริสต์มาสก็ดูได้ครับ หนังอาจไม่ได้สนุกมาก แต่อย่างน้อยดาราก็ดี และสาระในหนังก็ถือว่าน่าพอใจอยู่ – แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าดีกว่านี้ได้ ลงตัวกลมกล่อมกว่านี้ได้ และถึงอารมณ์กว่านี้ได้ก็คงแจ๋วเลย
และในแง่รายได้ ก็ต้องบอกว่าหนังล่มครับ ทำเงินไปเพียง $47 ล้านจากทั่วโลก แต่ทุนน่ะ $51 ล้านครับ เข้าเนื้อเห็นๆ เลย
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Christmas Movies, Comedy, Family, Feel-Good Movies, Movie Reviews












