หลังจากภาคก่อน คราวนี้อาถรรพ์ยิ้มสยองก็มาสู่เหยื่อรายใหม่ครับ นั่นคือ สกาย ไรลี่ย์ (Naomi Scott) นักร้องสาวซูเปอร์สตาร์ที่เคยมีประสบการณ์เฉียดตายเมื่อปีก่อน แล้วก็แน่นอนครับว่าพอเธอโดนอาถรรพ์เข้า เธอก็ต้องพบกับความหลอนสารพัด แล้วแบบนี้เธอจะพ้นจากความสยองครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ถือเป็นภาคต่อที่เข้าท่าไม่แพ้ภาคแรก แต่สิ่งที่ผมว่าเด่นแบบจริงๆ จังๆ จนถึงขึ้นโดนเลยสำหรับภาคนี้ต้องยกให้การแสดงของ Scott ที่เธอยิ่งกว่าเอาอยู่ครับ เล่นได้ดีมากๆ และดีหลายลีลาด้วย อย่างแรกคือตัวละครสกายของเธอนั้น เอาเข้าจริงๆ ก็มีปมในใจแบบเข้มข้นอยู่แล้วนะ คือเป็นนักร้องที่มีความซับซ้อน มีความเจ้บปวด และความสับสนอัดแน่นอยู่ภายใน ซึ่ง Scott ถ่ายทอดตรงนี้ออกมาได้ดีมากๆ

จุดนี้ก็แอบเซอร์ไพรส์นะครับ เพราะปกติหนังสยองจะไม่ค่อยเน้นเรื่องปมตัวละครหรือเน้นตรงการแสดงสักเท่าไหร่ แต่กับหนังชุด Smile นี่ให้ความสำคัญกับส่วนนี้มาตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว ครั้นมาภาคนี้ก็เหมือนยิ่งเน้นมากขึ้นไปอีก จนทำให้เราสัมผัสถึงตัวตนที่สับสนของสกายได้อย่างถึงขีด ในขณะที่ตอนเธอเจอเรื่องหลอนนี่ก็ไม่ต้องพูดถึงล่ะครับ เพราะการแสดงออกของเธอมันช่วยเพิ่มดีกรีความน่ากลัวให้ฉากนั้นๆ ได้อย่างน่าปรบมือ

เอาเข้าจริงๆ ผมว่าภาคนี้ไม่ได้เน้นสยองมากนะ ผมว่าภาคแรกดูจะสยองได้เอาเรื่องกว่า ในขณะที่ภาคนี้ก็มีความสยองตามมาตรฐานล่ะครับ แต่ดูเหมือนจะไม่พยายามประดิษฐ์ลีลาหลอนคนดูแบบใหม่ๆ สักเท่าไหร่ แต่หนังจะเน้นไปกับการให้คนดูได้เห็นว่าสกายเจอความหลอนแบบไหนบ้าง พูดง่ายๆ คือหนังเน้นหลอนสกายให้คนดูเห็น มากกว่าจะหันมาหลอนคนดูแบบเป็นเรื่องเป็นราว

แต่ก็พอเข้าใจครับหากจะมีคนที่รู้สึกผิดหวังกับภาคนี้ เพราะมันอาจไม่ได้เน้นลีลาหลอกหลอนตุ้งแช่มากนัก ส่วนผมนั้นเผอิญชอบสไตล์นี้ด้วยน่ะครับ คือสยองแบบตุ้งแช่เน้นหลอกคนดูก็ชอบนะ หรือจะสยองแบบเน้นการแสดง เน้นการเล่าเรื่องแบบนี้ก็ชอบเหมือนกัน ซึ่งจะลีลาไหนสไตล์ใดก็ตาม ขอเพียงทำถึงน่ะครับ ยังไงก็ได้ใจผมเสมอนั่นแหละ

แต่ในแง่รายได้นั้นลดลงจากภาคก่อนลงเกือบครึ่งน่ะครับ ภาคแรกทำเงินทั่วโลกไป $217 ล้าน แต่ภาคนี้ทำไปเพียง $138 ล้าน แม้จะกำไรเห็นๆ อยู่ก็ตาม (เพราะทุนน่ะแค่ $28 ล้านเท่านั้น)

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)