ภาคต่อที่ถือว่าทำออกมาได้ดีไม่น้อยหน้าภาคแรกครับ กับเรื่องราวบทต่อมาของครอบครัวแอ็บบอตต์ที่ต้องเผชิญกับโลกอันโหดร้ายที่การส่งเสียงคือการเรียกให้อสูรพันธุ์มฤตยูตรงมาฆ่า ดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องพยายามเงียบกันต่อไป
แต่ก็แน่ล่ะครับว่าแม้พวกเขาจะเงียบกันแค่ไหนอย่างไร พวกเขาก็ยังต้องเจอกับโจทย์ชีวิตโหดๆ รออยู่บนเส้นทางข้างหน้าอยู่ดี
ยอมรับว่าตอนเปิดเรื่องแอบตะหงิดใจนิดนึงเพราะตอนจบภาคก่อนทรงมันเหมือนว่าเหล่าอสูรร้ายมันตรงมายังบ้านของพวกแอ็บบอตต์แบบอย่างเยอะ แต่พอมาภาคนี้เหมือนทุกอย่างจะดูสงบกว่าตอนจบในภาคแรก เลยแอบงงนิดหน่อยระหว่างดูว่ามันยังไงกัน
แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เพราะภาคนี้ก็ยังถือว่าสนุกและน่าติดตามตลอดตามเคย ส่วนตัวแล้วผมออกจะชอบภาคแรกมากกว่า ส่วนหนึ่งคงเพราะบทพ่อที่ John Krasinski แสดงไว้ได้อย่างดี แต่ภาคนี้พอไม่มีตัวละครนี้มันเลยโหวงๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังดีครับที่เนื้อเรื่องยังโอเค ดาราชุดเก่าก็เล่นได้ดีและจริงๆ ผมว่าดีขึ้นด้วยนะ ไม่ว่าจะ Millicent Simmonds หรือ Noah Jupe ที่ต่างก็มีโมเมนต์ของตัวเอง
ภาคนี้ผมว่า Simmonds ดูเท่ห์ขึ้นครับ ดูเป็นผู้ใหญ่และรู้จักควบคุมตัวเองมากขึ้น เช่นเดียวกับ Jupe ที่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นตามลำดับเช่นกัน ผมว่าจุดเด่นอย่างหนึ่งของภาคนี้คือตัวละครมีพัฒนาการครับ และเป็นพัฒนาการเชิงบวกแบบที่ทำให้พวกเขาดูน่าเอาใจช่วยขึ้นด้วย ซึ่งอันนี้โคตรดีใจ เพราะหนังภาคต่อหลายเรื่องทำพลาดโดยการเพิ่มความงี่เง่าให้กับตัวละคร – ที่ทำแบบนั้นเดาว่าคงเพื่อให้ตัวละครพลาดบ่อยๆ จะได้มีฉากตื่นเต้นบ่อยๆ อะไรเทือกนั้นน่ะครับ แต่มันเป็นการเพิ่มฉากตื่นเต้นที่ไม่ใคร่จะสร้างสรรค์เท่าไหร่นะนั่น – ดีครับที่เรื่องนี้เขาไม่เลือกทิศทางนั้น
ความดีความชอบส่วนนี้ก็ต้องยกให้ Krasinski ครับ เพราะนอกจากจะกลับมากำกับแล้ว พี่เขายังเขียนบทแบบโชว์เดี่ยวอีกด้วย- ส่วน Bryan Woods และ Scott Beck เจ้าของไอเดียดั้งเดิมจากภาคแรกก็ขอขยับไปหนังเรื่องอื่นต่อ ไม่ได้มาร่วมเขียนบทด้วย – ซึ่งตอนแรก Krasinski เขาคิดว่าจะไม่กลับมาทำภาคต่อครับ แต่ทางสตูดิโอก็ขอให้ Krasinski ลองคิดดูดีๆ หรือถ้าจะไม่กำกับอย่างน้อยก็ช่วยเขียนบทช่วยอะไรหน่อยก็ยังดี
แล้ว Krasinski ก็ไอเดียพุ่งขึ้นมาครับ ภายใน 3 สัปดาห์ครึ่งพี่เขาก็ปั่นบทออกมาเสร็จ ครั้นพอปั่นบทแล้วเขาก็รู้สึกว่าคงน่าเสียดายหากจะส่งบทนี้ให้คนอื่นกำกับ พี่เขาเลยตกลงมากำกับอีกหน ซึ่งผมนี่รู้สึกขอบคุณเลยครับ ดีใจที่พี่เขาทำต่อ แล้วก็ถือว่าทำออกมาได้ดีอีกต่างหาก
ในแง่มิติตัวละครก็อย่างที่บอกครับ แต่ละคนมีโมเมนต์ของตัวเอง มีพัฒนาการเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นการสานต่อเรื่องราวที่ฉลาดและทำให้หนังชวนติดตามยิ่งขึ้น แล้วขณะเดียวกันหนังก็เพิ่มตัวละครใหม่มาให้เราลุ้นครับ นั่นก็คือ เอ็มเม็ตต์ (Cillian Murphy) ที่การมาของเขาก็ทำให้คนดูรู้สึกไม่แน่ใจเหมือนกันว่านายคนนี้จะมาดีหรือมาไม่ดี อันนี้ก็ต้องไปหาคำตอบกันในหนังนะครับ บอกได้แค่ว่า Murphy ดูเหมาะกับบทนี้มากๆ ทีเดียว – รายนี้คนดี-คนไม่ดีพี่เขาเล่นได้หมดแหละครับ
ส่วนตัวเรื่องก็ถือว่าหนักเครื่องในเรื่องการผจญภัยมากขึ้น แล้วก็มีการแยกเส้นเรื่องซึ่งผมบอกได้เลยว่าสนุกและน่าดูทุกเส้นเรื่องครับ มีวาระผ่อนคลายแล้วก็มีวาระแอ็คชั่นตื่นเต้นลุ้นระทึกในระดับที่กำลังเหมาะ และอีกอย่างที่ผมว่าเด่นขึ้นคืองานภาพครับ โดยเฉพาะโลเคชั่นต่างๆ ตอนตัวละครไปผจญภัยในป่าหรือในที่รกร้าง ผมว่ากล้องจับภาพได้เหมาะขึ้น และหลายฉากก็สามารถจับทิวทัศน์สวยๆ ใส่ลงมาในจอได้อย่างถูกใจ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกความดีความชอบให้ Polly Morgan ที่ในเวลาต่อมาก็ได้ไปสำแดงฝีมือใน Where the Crawdads Sing อีกหนึ่งคำรบ ทั้งเรื่องนี้และเรื่องนั้นนี่ภาพสวยทั้งคู่เลยครับ
ดีใจครับที่หนังยังทำเงินสวยอยู่ ทำไปราว $297 ล้าน แต่กำไรคงลดลงจากรอบแรกบ้างเพราะภาคนี้ทุนเพิ่มจากภาคแรกราวๆ 3 เท่า (ภาคนี้ทุนสร้าง $61 ล้านครับ)
และจากทิศทางที่หนังเลือกเดิน โดยเฉพาะประเด็นพัฒนาการของตัวละครนี่ ทำให้ผมอยากดูภาค 3 ต่อเร็วๆ เลยครับ อยากรู้ว่ามันจะไปยังไงต่อ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Horror, Monster Horror, Monster Movies, Movie Reviews, Recommended Movies, Sci-Fi, Thriller












