ถึงตาของเรื่องนี้ล่ะครับ กับการที่คนส่วนหนึ่งเชื่อว่าตนเองถูกมนุษย์ต่างดาวลักพาไป
เราจะได้พบกับ Travis Walton ผู้ที่อ้างว่าเคยถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปในวันที่ 5 พฤศจิกายน ปี 1975 และเรื่องราวของเขาก็ถูกนำมาทำเป็นหนังที่ชื่อ Fire in the Sky ในปี 1993 โดยเขาเล่าว่าเขาได้พบเห็นยานประหลาดที่ส่องแสงเรืองรองตอนเขากำลังกลับบ้านหลังเลิกงาน แล้วเขาก็พยายามเข้าไปใกล้มันก่อนที่จะพบว่าตัวเองถูกจับไปโดยมนุษย์ต่างดาว เขาหายตัวไป 5 วันก่อนจะกลับมายังโลกอีกครั้ง โดยเขาเองก็ยังคิดว่าเขาหายไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง
ส่วน Joe Nickel ผู้เห็นต่างเกี่ยวกับเรื่องการลักพานี้ก็มีข้อมูลในอีกชุด นั่นคือเขาพบว่าในช่วงที่ Walton หายไปนั้น นิตยสาร National Enquirer มีการเสนอรางวัลมูลค่า $5,000 เหรียญให้ใครก็ตามที่มีเรื่องเล่ายูเอฟโอที่ดีที่สุดประจำปี ซึ่งสำหรับเขาแล้วมันดูเป็นแรงจูงใจที่ดีสำหรับการที่ใครสักคนจะบอกว่าโดนมนุษย์ต่างดาวลักพาตัวไป และยังมีการพบหลักฐานในเชิงที่ว่า Walton เคยคุยเล่นกับแม่ว่า “ถ้ามีคนบอกว่าเขาโดนมนุษย์ต่างดาวจับไป แม่ก็ไม่ต้องตกใจนะ” แล้ว 5 วันที่ Walton หายตัวไปนั้น แม่ของเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตกใจ จนเจ้าหน้าที่ยังสงสัยเลยว่าแม่ของ Walton รู้เห็นเรื่องนี้ด้วยหรือไม่
และ Walton ก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเองด้วยการเข้าเครื่องจับเท็จ ซึ่งเขาก็บอกว่าเขาผ่านการตรวจสอบ แต่ก็มีข้อมูลออกมาอีกฝั่งว่าที่ Walton บอกว่าผ่านนี่คือรอบหลัง แต่รอบแรกๆ นั้นจริงๆ เขาไม่ผ่านเลย เจ้าหน้าที่ที่ทำการจับเท็จพบว่าเขาพยายามใช้เทคนิคควบคุมลมหายใจ และยังมีการเปิดเผยอีกว่าในอดีต Walton เคยมีประวัติขโมยและปลอมแปลงเช็คด้วย
อีกหนึ่งสิ่งที่มีคนสังเกตคือ Walton มาพร้อมเรื่องการถูกจับไปโดยมนุษย์ต่างดาว หลังจากที่ทีวีมีการฉายหนังเรื่อง The UFO Incident ที่เอาเรื่องของ Betty และ Barney Hill ที่อ้างว่าเคยโดนมนุษย์ต่างดาวจับไปในปี 1961 (หนังนำแสดงโดย James Earl Jones และ Estelle Parsons) โดยหนังเรื่องที่ว่าฉายในวันที่ 20 ตุลาคม ปี 1975 แล้ว 2 สัปดาห์ต่อมาก็เกิดเรื่องกับ Walton – บางคนมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ส่วนการที่หลายคนบอกว่าโดนมนุษย์ต่างดาวพาไปทดลองหรืออะไรนั้น ด้านคนที่ไม่เชื่อก็อธิบายปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis) ก็คือภาวะที่ร่างกายรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ได้ และคนที่ตกอยู่ในสภาวะนี้ก็จะสามารถเห็นโน่นนี่ได้ตามแต่จินตนาการในหัว เช่น ในยุคกลางที่คนกลัวปีศาจ พวกเขาก็จะเห็นปีศาจอย่างอินคิวบัสหรือซัคคิวบัสมานั่งคร่อมร่างตนเอง หรือถ้าคนผู้นั้นเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาว ก็มีแนวโน้มที่สิ่งที่จะเห็นจะเป็นภาพมนุษย์ต่างดาวที่มาพร้อมรูปลักษณ์หัวโต ดวงตาทรงอัลมอนด์
ในบทสรุปตอนท้าย Richard Syrett เองก็ยังบอกว่าเขายังไม่ปักใจเชื่อกรณีของ Travis Walton เนื่องจากนอกจากคำกล่าวอ้างแล้ว ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์อื่นๆ ให้ตามรอย
แต่ผมชอบอันนี้ครับ Syrett บอกว่า อย่างไรก็ตาม มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างกับกรณีที่คนบอกว่าโดนมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป – นี่คือเมื่อเราตัดกรณีที่ว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง หรืออาการทางจิต หรือภาวะอัมพาตขณะหลับออกไปแล้วน่ะนะครับ – อาจเป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆ หรือปีศาจ หรือมีการทดลองทางจิตวิทยาบางอย่างที่เราไม่รู้ – เหยื่อเหล่านั้นอาจถูกวางยา ถูกสะกดจิต หรือถูกปลูกฝังความทรงจำเท็จ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ “จริง” ในปรากฏการณ์นี้
นี่คือหนึ่งในตอนที่น่าสนใจสำหรับผม และมันยังได้มอบคำชวนคิดน่าสนใจบางอย่าง กับบางเรื่องที่ผมสนใจ ซึ่งผมขอละไว้ยังไม่เขียนถึงในตอนนี้ แต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจมีสักครั้งที่ผมจะเขียนถึง เมื่อมองอะไรๆ ชัดขึ้น
หวังว่าบทความรีวิวสารคดีหลายชิ้นที่ผมเขียน จะทำให้ท่านได้ไอเดียหรือฉุกคิดอะไรที่จะให้คำตอบต่อหลายๆ สิ่งในชีวิตของท่าน – แบบที่ผมได้
สามดาวครับ
(8/10)












