Horror

Weapons (2025) เวเพินส์

จู่ๆ ในค่ำคืนหนึ่ง เด็กนักเรียน 17 คนในห้องของคุณครูจัสทีน แกนดี้ (Julia Garner) ก็วิ่งออกจากบ้านแล้วก็หายตัวไปในความมืด ทั้งเมืองตกอยู่ในความสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเด็กๆ เหล่านั้น และคุณครูแกนดี้ก็เริ่มตกเป็นเป้าในการด่าทอ หลายคนเริ่มคิดว่าที่เด็กๆ หายไปมันเกี่ยวข้องกับเธอไหม? – คำตอบของคำถามที่ว่าก็รออยู่ในหนังครับ

หลังดูหนังเรื่องนี้จบผมก็ให้เวลาตัวเอง 2 วันกว่าๆ ในการครุ่นคิดพิจารณา – พิจารณาตนเองน่ะครับ – ก่อนจะมาจรดนิ้วพิมพ์ตรงนี้ ซึ่งจนถึงตอนนี้ผมก็ยังรู้สึกเหมือนเดิมกับตอนที่ดูจบ คือผมรู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ทำได้ดีครับ และเป็นหนังที่น่าดูอีกเรื่องสำหรับคนที่ชอบหนังแนวลึกลับสยองขวัญ แต่กระนั้นผมก็ต้องสารภาพตรงๆ ว่าผมยังไม่ถึงขั้นชอบหรือสนุกตื่นเต้นกับหนังมากนัก

อีกอย่างคือผมก็ถามตัวเองนะว่าจะดูหนังเรื่องนี้ซ้ำอีกไหมในอนาคต หัวผมมันก็ตอบว่า “คงไม่” แต่ขณะเดียวกันมันก็ตอบเสริมขึ้นมาว่า “แต่ผมว่าผมจะไปเอา Barbarian ผลงานก่อนหน้าของผู้กำกับ Zach Cregger มาดูอีกสักหน” แทน

โอเค ตัวหนังผมว่าดีครับ ทำบรรยากาศออกมาอึมครึมดูน่ากลัวดี หลายฉากก็มีความบิดเบี้ยวชวนเสียวไส้ซึ่งส่งผลตรงถึงคนดูได้ไม่น้อย เรื่องดารานี่หายห่วงครับ เล่นกันดีทุกคนโดยเฉพาะ Amy Madigan ในบทคุณป้าแกลดิสซึ่งผมถือว่าเธอคือทีเด็ดอย่างหนึ่งของหนังเลยก็ว่าได้ และอีกหนึ่งของถูกใจคือดนตรีครับ ซึ่ง Zach Cregger ลงมาทำเองร่วมกับ Hays Holladay และ Ryan Holladay ซึ่งถือว่าเวิร์คมากโดยเฉพาะการใช้เครื่องสีมาขยี้ ปาดเสียงบาดคนดูแบบจื๊ดๆๆๆ บางฉากมันดูหลอนและบิดเบี้ยวก็เพราะดนตรีนี่แหละ

ครับ ผมว่าหนังน่ะดี แต่ผมเองก็มีคำถามเหมือนกันว่าทำไมผมถึงรู้สึกไม่สุดกับหนัง และคำตอบที่พอจะเดาได้ก็คือ ถ้าไม่เพราะมีภาพจากหนังเรื่องอื่นมาอยู่ในหัวระหว่างดูมากเกินไป ก็อาจเพราะความคาดหวังที่ทำให้เราไปหวังกับหนังมากเกิน

ว่ากันที่ความคาดหวังก่อน คือผมนี่ชอบ Barbarian ของผู้กำกับ Cregger มากนะ คือมันอาจเป็นการเอาสูตรเก่ามาเขย่าใหม่ แต่จังหวะการเล่าเรื่องมันกำลังดี และที่สำคัญคือมันมีความพลิกผัน มันมีอะไรที่ดูแล้วผมรู้สึกว่ามันว้าว เหมือนหนังจะสุดแค่นี้ แต่ยังมีต่อ ยังมีอะไรซ่อนไว้ให้ประหลาดใจหรือว้าวต่อ แม้จะไม่ใช่ว้าวคำโตเท่าตอนดู The Sixth Sense แต่มันก็ว้าวใช้ได้ ว้าวแบบสนุกและทำให้เราเอ็นจอยไปกับหนัง

แต่กับเรื่องนี้นี่ ตอนแรกมันก็ดูลึกลับและน่าค้นหาดี แต่พอถึงจุดที่หนังบอกว่ามันเกิดจากอะไร และอะไรคือสาเหตุของเรื่องบ้าๆ ครั้งนี้ แล้วก็เหมือนว่ามัน “หมดแล้ว” คือหนังก็ยังเดินเรื่องต่อนั่นแหละครับ แต่มันไม่มีอะไรที่ว้าว หรือรู้สึกว่า “ยังมีต่อเหรอ มีซ่อนนี่ไว้อีกเหรอ” แบบที่ Barbarian เคยทำให้ผมรู้สึกได้มาก่อน แต่สิ่งที่ผมรู้สึกในตอนจบของหนังกลับเป็นว่า “แค่นี้เหรอ?”

จุดนี้ผมโทษตัวเองครับ สงสัยคาดหวังมากไป ไม่ว่าจะหวังเพราะผู้กำกับคนนี้ทำ หวังเพราะหนังมันดังสุดๆ หรือเพราะอะไรก็ตาม แต่เราอาจจะหวังมากไป เลยทำให้พอหนังออกมาประมาณนี้ – ซึ่งจริงๆ ก็อยู่ในขั้นดีนั่นแหละ แต่มันไม่สวิงสวายหรือมีอะไรพลิกผันรอในตอนท้าย – ก็เลยทำให้ผมรู้สึกไม่สุดกับหนังสักเท่าไหร่

นั่นคือความรู้สึกครึ่งหนึ่งครับ ยังมีอีกครึ่งซึ่งก็น่าจะมีผลในการบั่นทอนความเพลินในการดูของผมไปไม่น้อยเหมือนกัน นั่นคือ พอถึงฉากหนึ่ง ผมดันนึกถึงหนังเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วหลังจากนาทีนั้นภาพของหนังเรื่องนั้นก็ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในหัวผมตลอด

หนังเรื่องนั้นคือ Ju-On ครับ

ฉากที่ทำให้ผมนึกถึง Ju-On แว่บแรกเลยคือตอนที่ครูแกนดี้ไปด้อมๆ มองๆ บ้านของนักเรียนคนหนึ่ง แต่บ้านหลังนั้นกลับมีอะไรแปลกๆ นั่นคือมีกระดาษหนังสือพิมพ์มาแปะไว้เต็มกระจกหน้าต่าง – ใครเคยดูหนังชุด Ju-On มาคงจำได้ว่าจะมีอยู่ภาคหนึ่งที่มีอะไรแบบนี้ – ผมเลยนึกถึง Ju-On ขึ้นมาแว่บหนึ่ง ตอนแรกก็นึกว่าจะแว่บผ่านไป แต่หนังก็มีอีกสิ่งที่ทำให้ผมต้องกลับมานึกถึง Ju-On อีกจนได้ นั่นคือสไตล์การเดินเรื่องที่แบ่งเป็นตอนของแต่ละคน อย่างตอนของครูแกนดี้ ตอนของอาร์เชอร์ กราฟฟ์ (Josh Brolin) พ่อของเด็กคนหนึ่งที่หายไป ฯลฯ เท่านั้นล่ะครับ หัวผมสลัดหนัง Ju-On ออกจากหัวไม่ได้เลย

นี่แหละครับ ผมเลยบอกว่าผมต้องมาพิจารณาตัวเอง จนได้คำตอบว่าที่ผมไม่รู้สึกสุดกับหนัง ก็คงเพราะอะไรเหล่านี้มารวมตัวกัน ทั้งความคาดหวังที่มากไป ทั้งตัวหนังที่จริงๆ ก็ดีแต่มันไม่ “ให้อีก แถมอีก เพิ่มอีก” ในช่วงหลังๆ มันไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์มากนัก แล้วพอมาบวกกับการนึกถึง Ju-On ที่มีส่วนให้ผมเดาทางอะไรหลายๆ อย่างได้ และสำหรับผมแล้วภาพสยองใน Ju-On มันจะโจ่งแจ้งและหลอนกว่าภาพในเรื่องนี้ (สำหรับผมนะครับ) มันเลยทำให้ผมรู้สึกไม่สุดกับหนังไปโดยปริยาย

และอีกส่วนหนึ่งที่ผมรู้สึกก็คือ ผมว่าหนังอาจจะเยิ่นเย้อไปนิดครับ เพราะหนังเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแต่ละตัวละคร ซึ่งบางช่วงมันก็เป็นอะไรๆ ที่ซ้ำกัน หรือไม่ได้มีแง่มุมใหม่มากนัก หรือบางจังหวะนี่หนังเหมือนจะมาแล้ว ความน่าสนใจกำลังมาแล้ว อย่างตอนที่อาร์เชอร์เริ่มจับทางอะไรบางอย่างได้ ปมกำลังมา เครื่องกำลังติด แต่พอหนังสลับไปเล่าเรื่องของคนอื่น อารมณ์ที่กำลังมาก็เลยเหมือนถูกเบรคไป

ที่เขียนมานี่ก็เพื่อแบ่งปันประสบการณ์และความรู้สึกหลังดูหนังเรื่องนี้ครับ และอยากบันทึกเอาไว้ด้วยว่าเรารู้สึกแบบไหน และท่านที่อ่านก็จะพอเข้าใจว่าเพราะอะไรผมถึงรู้สึกยังไม่สุด

แต่ถ้าให้มองตัวหนังโดยตัดเอาอะไรที่ผมบอกไปออกแล้วเหลือแต่ตัวหนัง ผมว่าหนังก็ทำได้ดีแหละครับ มีความลึกลับ ชวนระทึก รวมถึงอารมณ์ขันแสบๆ ร้ายๆ ผสมลงไป เพียงแต่บางจังหวะก็อาจมีบ้างที่หนังจะเรื่อยๆ ไปบ้าง บางช่วงนี่เล็มออกก็น่าจะได้ แล้วอีกอย่างที่ยังคงรู้สึกอยู่ก็คือช่วงหลังๆ น่ะครับ ถ้ามีอะไรที่เซอร์ไพรส์หรือกระชากใจเราได้ หรือมีฉากหลอกหลอนที่มาพร้อมลีลาสดๆ แหวกๆ หน่อย ก็คงจะดี – ประมาณว่าขออีกนิดน่ะครับ ถ้าได้อีกนิดก็จะแจ๋วเลย

ก็ถือเป็นหนังสยองขวัญสั่นประสาทที่ทำออกมาได้ดีแหละครับ แต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่าง (ในตัวผม) เลยทำให้ผมไม่รู้สึกสุดกับหนัง แต่ถ้าท่านดูแบบไม่คาดหวังและปล่อยจอยสบายๆ ก็น่าจะเพลินกับหนังได้อยู่

หนังก็ทำเงินกระหน่ำได้ไปกว่า $267 ล้านจากทั่วโลก เมื่อเทียบกับทุนสร้าง $38 ล้านแล้วก็กำไรสวยๆ เลยครับ ซึ่งก็น่าจะเป็นใบเบิกทางให้ผู้กำกับ Cregger ได้สร้างสรรค์หนังออกมาอีกเรื่อยๆ ซึ่งผมก็พร้อมจะรอดูล่ะครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)