Chinese/Hong Kong/Taiwan Movies

แก๊งม่วนป่วนอเมริกา 1900 (2025) Detective Chinatown 1900

ค่อนข้างจะเป็นทางการแล้วล่ะครับ ว่าผมเป็นแฟนหนังชุดนี้ไปแล้ว เพราะตามดูหมดทั้งหนังและซีรี่ส์ แม้ว่าดูแล้วมันอาจจะรู้สึกว่ายังไม่สุด ยังไม่เด็ดแบบเต็มๆ แต่ผมก็ชอบน่ะครับ ชอบในแนวทางของมัน ชอบในสไตล์ความเป็นหนังสืบสวนบวกด้วยความฮาแบบที่มีออกมาไม่บ่อยนัก และยิ่งทำเป็นแฟรนไชส์ขนาดนี้นี่ต้องเรียกว่าน้อยมากๆ เลยแหละ – คงเพราะแบบนั้นน่ะครับผมเลยชอบหนังชุดนี้

และถ้าว่าตามจริงผมนั้นอยากดูหนังภาค 4 แบบจริงๆ มากกว่าครับ เพราะภาค 3 มันทิ้งเชื้อไว้ว่าจะไปลอนดอนแล้วยังเปิดเรื่องของ Q เอาไว้แบบชวนให้ตามดูสุดๆ มันเลยอยากรู้ว่าคดีที่ลอนดอนจะมันส์และโม้ขนาดไหน แต่ก็เดาว่ากระบวนการสร้างคงติดอยู่ตรงไหนสักแห่ง ไม่รู้ว่าตรงเรื่องบทหรือตรงการไปถ่ายที่ลอนดอน เราเลยได้มาดูภาคก่อนหน้าแทน

ภาคนี้ก็ย้อนไปปี 1900 ครับ สมัยที่ชาวจีนเริ่มไปก่อร่างสร้างตัวที่อเมริกา แล้วทีนี้ก็เกิดคดีฆาตกรรมลูกสาวของท่านสว. แกรนต์ โจนส์ (John Cusack) และผู้ต้องสงสัยก็คือไป๋เจิ้นปัง (จางซินเฉิง, Zhang Xin Cheng) ลูกชายของไป๋เสี่ยวหลิง (โจวเหวินฟะ, Chow Yun Fat) คนจีนที่ทรงอิทธิพลในย่านไชน่าทาวน์ แล้วคุณไป๋ก็เลยขอแรงให้ฝูฉิน (หลิวเฮ่าหรัน, Liu Hao Ran) มาช่วยไขคดีพิสูจน์ความบริสุทธิให้ลูกชายของเขา

แล้วในที่เกิดเหตุที่พบศพลูกสาวท่าน สว. ก็ยังพบศพผู้เฒ่าชาวอินเดียนแดงอีกหนึ่งราย ซึ่งเขาคนนี้คือพ่อของอากุ้ย (หวังเป่าเฉียง, Wang Bao Qiang) ครับ เลยทำให้ออกโรงเข้าเมืองมาสืบหาความจริง แล้วพอได้เจอกับฝูฉินก็เลยมีอันได้แท็คทีมร่วมกันไขคดีจนได้

ภาคนี้ได้ เฉินซื่อเฉิง (Chen Si Cheng) ผู้กำกับ 3 ภาคแรกมาร่วมกำกับกับ ไต้ม่อ (Dai Mo) ครับ ซึ่งตัวหนังก็ยังดูได้เพลินๆ ดูสนุกตามสไตล์หนังชุดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็มีจุดอ่อนแบบเดิมนั่นคือตอนครึ่งแรกของหนังนั้นค่อนข้างจะใช้เวลาไปกับมุกตลกโน่นนี่นั่นเสียเยอะครับ อันนี้รู้สึกเลยว่าทุกภาคมันจะประมาณนี้แหละ ช่วงต้นๆ มันจะเป๋อป่วนฮา นอกเรื่องบ้างเข้าเรื่องบ้างสลับกันไป ซึ่งหลายท่านอาจจะชอบน่ะนะครับ แต่สำหรับผมนั้นอยากให้มันไม่นอกเรื่องจนเกินไป คือจะเล่นขำก็ขำให้มันอยู่ในเรื่องน่าจะดีกว่า เพราะมันทำให้ช่วงต้นๆ โทนและพล็อตมันดูเบาๆ ไป และทำให้ความสนุกยังไม่เยอะ

แล้วก็ตามสูตรเช่นเคยครับ ต้องรอเอาครึ่งหลังการสืบถึงจะเป็นรูปเป็นร่าง แล้วพอตอนท้ายก็เข้าโหมดไขคดีให้ทุกคนประจักษ์ว่าจริงๆ แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ซึ่งตอนกลางกับตอนท้ายนี่ผมโอเคครับ แต่ตอนต้นนี่แหละที่ถ้ามันกระชับและอยู่ในลู่หน่อยก็น่าจะดี

ส่วนคดีในเรื่องก็มีการหักมุมพลิกผันตามสไตล์หนังชุดนี้ล่ะครับ ซึ่งก็ถือว่าเข้าท่า และภาคนี้ตอนท้ายนอกจากการไขคดีแล้วยังมีอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขนานกันไป นั่นคือการที่ทางการอเมริกันจะออกกฎที่จะส่งผลต่อชาวจีนที่อยู่ที่นั่น ทำให้ไป๋เสี่ยวหลิงต้องไปชี้แจงต่อสภาเมือง ซึ่งเนื้อเรื่องส่วนนี้ในทางหนึ่งก็สะท้อนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าสนใจครับ ว่าส่วนหนึ่งที่อเมริกาเจริญมาได้ ไม่มากก็น้อยที่ชาวจีนที่อพยพไปทำงานที่นั่นก็มีส่วนในการสร้างความเจริญให้กับแผ่นดินอเมริกาเหมือนกัน

แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ครับว่าฉากเหล่านี้รวมถึงประเด็นต่างๆ หลายอย่างในหนังภาคนี้ก็ออกแนวผสมเรื่องการเมืองลงไปไม่น้อยเหมือนกัน – หรือว่ากันตรงๆ ก็คือหนังค่อนข้างโปรจีนเยอะอยู่ – ดังนั้นทางที่เหมาะสำหรับการดูหนังเรื่องนี้ให้เกิดประโยชน์ก็คือ หากดูแล้วท่านเกิดสนใจประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่ในหนังเปิดประเด็นไว้ ก็แนะนำให้ลองไปหาหนังสือหรือหาข้อมูลต่างๆ เพิ่มเติมเพื่อจะได้เห็นภาพต่างๆ ได้ครบมุมมากขึ้น และหากอยากจะเห็นภาพที่กว้างๆ มากขึ้นก็ควรหาข้อมูลจากหลายฝ่ายหลายมุมนำมาประกอบเทียบเคียงกันครับ อันนี้ก็พูดตรงๆ เลยว่า บางประเด็นนั้น จีนก็จะว่าแบบหนึ่ง ส่วนอเมริกาก็จะบอกแบบหนึ่ง อันนี้ก็ต้องเอาข้อมูลมาชั่งตวงวัดพิจารณากันดูครับ

กลับมาเรื่องหนังนะครับ โดยรวมผมว่ามันก็สนุกดี เพียงแต่รู้สึกได้ว่าลีลาตอนไขคดีนั้นอาจจะหวือหวาน้อยกว่าภาคก่อนๆ ที่ตอนจะไขคดีทีนี่เราจะได้เห็นฉากแปลกๆ มุมกล้องแหวกๆ สารพัดมาสร้างความน่าสนใจ แต่เดาว่าคงเพราะภาคนี้เล่าเรื่องในอดีตน่ะครับ จะเอาลีลาสมัยใหม่ใส่ลงไปก็อาจแปร่งๆ หนังเลยเลือกที่จะนำเสนอแบบง่ายๆ ตรงๆ แค่บอกเล่าแล้วก็ตัดสลับภาพเอา ซึ่งถึงแม้ความหวือหวาน่าสนใจจะลดลง แต่อย่างน้อยก็ถือว่ายังไขคดีและสรุปเรื่องราวให้คนดูได้เข้าใจกระจ่างอยู่

เอาเป็นว่าผมไม่ผิดหวังครับ หนังชุดนี้ก็จะประมาณนี้แหละ คือดูได้สนุกๆ เอาฮาเอาเพลิน บวกด้วยการไขคดีมันส์ๆ แต่ตอนนี้ใจลอยไปอยู่ที่ภาค 4 แล้วครับ อยากรู้ว่าคดีต่อไปมันจะใหญ่แค่ไหน

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)