ตอนนี้การเดินทางจะเริ่มที่ทางเหนือของอิตาลี ที่เมืองเวโรนา (Verona) เมืองของโรมิโอและจูเลียต ก่อนจะบ่ายหน้าไปทางตะวันออกสู่เมืองปาดัว (Padua) แล้วก็ล่องตะวันออกต่อไปยังเวนิส (Venice) หนึ่งในเมืองยอดนิยมของโลก จากนั้นก็ขึ้นเหนือไปยังตอนใต้ของเทือกเขาแอลป์ (Alps) ที่อัสโซโล (Asolo) และจบการเดินทางที่เมืองวิเซนซา (Vicenza)
ผมเชื่อว่าใครที่หลงเสน่ห์อิตาลีอยู่แล้ว ดูตอนนี้ก็น่าจะถึงขั้นหัวปักหัวปำล่ะครับ เพราะบ้านเมืองของเขาดูงดงาม มีเอกลักษณ์ เปี่ยมมนต์ขลัง มีสิ่งก่อสร้างระดับตำนานให้ชมกันจนเพลินตา ทุกแห่งหนในเมืองอย่างเวโรนาล้วนมีประวัติศาสตร์ให้ค้นหา แล้วดนตรีในตอนนี้ก็ยังบรรเลงได้เหมาะอีกด้วยครับ ท่วงทำนองได้อารมณ์เหมือนมีคนพาเราชมสถาปัตยกรรมต่างๆ
เมืองปาดัวก็ใช่ย่อยครับ เพียงเห็นมหาวิหารเซนต์แอนโทนี่แห่งปาดัว (The Basilica of Saint Anthony of Padua) ก็ทำให้ทึ่งในความงดงามได้แล้ว โดยสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นหลังการเสียชีวิตของเซนต์แอนโทนี่ประมาณ 1 ปี เป็นอาคารที่มีหลายสไตล์ผสมอยู่ด้วยกันเพราะผ่านการต่อเติมมาหลายครั้ง ซึ่งก็ทำให้มหาวิหารแห่งนี้มีความโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นไปอีก
และไม่ต้องสงสัยครับว่าอีกหนึ่งไฮไลต์คือการได้เห็นเมืองเวนิส จากเมืองที่เคยมีคนมาเที่ยวหลักพัน ตอนนี้ว่ากันว่ามีคนกว่า 7 ล้านคนเดินทางมาที่นี่ในแต่ละปี แต่ในทางกลับกันครับ เรือกอนโดล่าที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองนี้ในอดีตเคยมีอยู่นับหมื่นลำ ครั้นมาเวลานี้เหลืออยู่ราวๆ 400 ลำเท่านั้น – ที่แห่งนี้ถือเป็นอีกเมืองครับที่มีอะไรให้ชมกันจนฉ่ำตา
สิ่งชวนทัศนาต่อมาคือวิลล่าที่สร้างโดย Andrea Palladio สถาปนิกชาวอิตาลีระดับตำนาน ไม่ว่าจะ Villa Emo ที่ Fanzolo และ Villa Barbaro หรือ Villa di Maser ทั้ง 2 แห่งนี้ล้วนสวยงามบนความเรียบง่าย คู่ควรกับการเป็นมรดกโลก และสำหรับท่านที่สนใจงานของ Palladio เมืองที่สมควรไปเยือนอีกแห่งก็คือวิเซนซาครับ มีผลงานของเขาอยู่ทั่วเมือง
หลังจากดูรายการนี้มาได้หลายตอน สิ่งหนึ่งที่ผมตระหนักเลยก็คือ โลกใบนี้มีความงดงามหลากหลายรูปแบบจริงๆ ครับ และความงดงามของแต่ประเทศก็มีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองจนยากที่จะเอามาเปรียบกันได้ อาคารของอังกฤษก็สวยแบบหนึ่ง ของอเมริกาก็แบบหนึ่ง หรือสถาปัตยกรรมที่ต่างยุคกันก็มีเสน่ห์ที่ต่างกันไป – โลกใบนี้ถือเป็นลานกว้างแห่งศิลปะที่น่าประทับใจจริงๆ ครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)












