ถือว่าได้ดูไวกว่าที่คิดครับ สำหรับสารคดีที่เอาเรื่องราวในเชิงศาสนาและความเชื่อมาบอกเล่า โดยมี Dennis Quaid เป็นผู้ดำเนินรายการ
ผมว่าปี 2 นี่ดูมีอะไรมากขึ้นครับ ที่แน่ๆ คือเป็นความคิดที่ถูกต้องมากที่ให้แต่ละตอนมีหลายเรื่องอัดรวมกัน มันเลยไม่น่าเบื่อและดูเพลินขึ้นกว่าปีก่อน ส่วนในเชิงเนื้อหาผมว่าทีมงานก็ทำการบ้านกันหนักขึ้นครับ เพราะข้อมูลจัดว่าจุใจไม่ใช่น้อย เรียกว่าใครชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความเชื่อหรือศาสนานี่น่าจะสนุกกับรายการไปด้วยไม่ยาก
อย่างผมนี่ก็ถือว่าได้ข้อมูลหลายอย่างมาเติมความรู้ในสมองครับ มีหลายเรื่องเลยที่ชอบ ตัวอย่างเช่นเรื่องแนวคิดเรื่องสวรรค์ที่จริงๆ แล้วไม่ได้เริ่มมาจากศาสนาคริสต์ แต่มาจากหลายวัฒนธรรมก่อนศาสนาคริสต์ ซึ่งมีการเอ่ยถึงสถานที่ซึ่งคล้ายๆ กันกับสวรรค์ในอุดมคติ ที่เราต้องถูกพิพากษาก่อนจึงจะเข้าไปได้ และหนึ่งในสวรรค์แห่งแรกๆ ก็อยู่ในศาสนาของอิหร่านซึ่งก็คือศาสนาโซโรแอสเตอร์ซึ่งเกิดมาก่อนพระเยซูกว่า 600 ปี
คำสอนจากศาสดาโซโรแอสเตอร์ตามคัมภีร์อเวสตะ มีการอธิบายการพิพากษาซึ่งจะเกิดบนสะพานชินวัต หลักการก็คือหลังจากเราตายไปแล้ว ถ้าเราเป็นผู้ประพฤติชอบ สะพานก็จะกว้างให้เราเดินข้ามไปโดยง่าย แต่หากเรามีบาป สะพานก็จะแคบลงจนบางเท่าใบมีด
มีอีกหลายศาสนาที่มาพร้อมแนวคิดการพิพากษาหลังความตาย ไม่ว่าจะอียิปต์, จีน หรือโพลีนีเชีย อย่างอียิปต์ก็จะเชื่อว่า เมื่อตายไปแล้วเราจะถูกพิพากษาโดยตุลาการ 42 องค์ แล้วก็จะมีการเอาหัวใจเราไปชั่งน้ำหนักเทียบกับขนนกแห่งสัจจะ ถ้าหัวใจเราเบากว่าขนนกก็จะได้รับอนุญาตให้ผ่าน แต่ถ้าหนักกว่าก็จะถูกโยนไปให้เทพอสูรอ้มเม็ต (Ammit) กลืนกิน
สำหรับเรื่องของนรกแล้ว นรกตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นที่รู้จักในโลกมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะนักเขียนชื่อดังแห่งศตวรรษที่ 14 อย่าง Dante Alighirei ซึ่งนับถือคาทอลิก กับวรรณคดี The Divine Comedy ที่บรรยายถึงนรกทั้ง 9 วงพร้อมทั้งอธิบายว่าแต่ละวงนั้นมีไว้สำหรับคนทำบาปประเภทไหน
แต่กระนั้นหากว่าตามความเชื่อนี้แล้ว ก็ยังไม่มีการระบุชัดว่านรกอยู่ที่ไหน มีแต่คำใบ้ในเชิงว่า อยู่ที่ใจกลางโลกหรืออยู่ใต้พื้นโลกอันนำไปสู่แนวคิดที่ว่านรกน่าจะอยู่ใต้ดิน
ทีนี้ถ้าถามว่า แล้วแนวคิดว่านรกอยู่ใต้ดินนั้นมาจากไหน?” ก็อาจอ้างอิงได้ถึงแนวคิดของอียิปต์โบราณที่เชื่อว่านรกอยู่ใต้ดินมานานก่อนการม่ของคัมภีร์ไบเบิ้ล (ราวๆ 1,300 – 1,200 ปีก่อนคริสตกาล) ซึ่งจะมีประเด็นเกี่ยวกับการพิพากษาและการลงโทษผู้ทำบาปจารึกไว้ด้วย
ส่วนชาวกรีกโบราณก็มีคนที่ชื่อ Strabo ที่อ้างว่านรกสามารถไปถึงได้โดยผ่านประตูพลูโต – พลูโตคือชื่อเทพแห่งยมโลกของโรมัน – ซึ่งตำแหน่งที่เรียกว่าประตูพลูโตนี้สร้างอยู่เหนือถ้ำที่เชื่อว่าเป็นประตูสู่นรก เพราะถ้ำที่ว่านี้มีความน่ากลัว คือใครก็ตามที่เข้าใกล้มากเกินไปและอยู่ตรงนั้นนานเกินไป จะต้องตายเพราะหายใจไม่ออกเพราะแก๊สที่อยู่ในถ้ำ
ว่ากันว่าประตูพลูโตเคยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวด้วยครับ โดยจะมีการจัดตำแหน่งให้คนที่ไปเยี่ยมเยือนได้นั่งอยู่ห่างๆ แล้วก็จะมีนักบวชส่งสัตว์ที่ยังมีชีวิตเข้าไปในถ้ำโดยล่ามเชือกเอาไว้ แล้วสักพักก็จะลากศพที่ไร้ชีวิตของมันออกมา – แต่ถ้ำนี้ก็สูญหายไปเมื่อมีแผ่นดินไหวจนถ้ำถล่มในศตวรรษที่ 6
พอเวลาล่วงเลยมาถึงยุคมืดและยุคกลาง เรื่องเกี่ยวกับทางไปนรกก็กลายสภาพเป็นเรื่องเล่า เหมือนนิทาน ประตูพลูโตเลยถูกมองว่าเป็นเพียงตำนาน จนปี 1965 มีนักโบราณคดีชาวอิตาเลียนออกตามหาตำแหน่งของประตูพลูโตอีกครั้ง ในที่สุดมันก็ถูกพบในจุดที่ตอนนี้เป็นประเทศตุรกี ใกล้เมืองปามุคคาเล (Pamukkale) โดยในครั้งนี้มีการค้นพบว่าถ้ำตั้งอยู่ตามแนวรอยเลื่อนทางธรณีวิทยาที่ยังมีพลังอยู่ แล้วก็ได้คำตอบว่าแก๊สลึกลับที่คร่าชีวิตคนนั้นก็คือคาร์บอนไดออกไซด์นั่นเอง
ยังมีถ้ำอื่นๆ ที่คนคาดการณ์ว่าน่าจะเกี่ยวกับตำนานนรก คือในปี 2012 นักโบราณคดี ไมเคิล กาลาตีทึ่กำลังทำงานอยู่แถบภูมิภาคมานี ทางกรีกตอนใต้ พวกเขาได้ขุดสำรวจถ้ำอเลโพทรีพาที่เชื่อกันว่าชาวกรีกเคยใช้งานมัน แต่จากการตรวจสอบกลับพบว่าถ้ำนี้มีมาก่อนชาวกรีกนานับพันปี – จริงๆ ถ้ำนี้คือหนึ่งในที่อาศัยในยุคแรกๆ ก็ว่าได้
ในถ้ำแห่งที่ว่ามีการขุดพบซากศพมนุษย์กว่า 170 ศพ และพอตรวจสอบไปก็พบว่าถ้ำนี้น่าจะถูกมนุษย์ใช้งานมาตั้งแต่ 6,000 ปีก่อนคริสตกาล และราวๆ 3,200 ปีก่อนคริสตกาล ถ้ำนี้ก็เจอแผ่นดินไหวรุนแรงจนทางเข้าถ้ำถล่ม และมีคนนับร้อยติดอยู่ข้างใน ซึ่งพวกเขาไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่ค่อยๆ ทยอยตายอย่างช้าๆ ทั้งด้วยอาการบาดเจ็บหรือไม่ก็ด้วยความอดอยาก
นักโบราณคดียังพบด้วยว่าในเวลาเดียวกันนั้น ก็มีมนุษย์อีกส่วนอาศัยอยู่หน้าถ้ำ เชื่อกันว่าคนกลุ่มนี้เองที่กลายเป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์อันสยดสยองนี้ พวกเขาอาจได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความทรมานของผู้รอดชีวิตที่กำลังรอความตาย
ในประเด็นนี้กาลาตีได้เกิดความสนใจและสังเกตว่า ในวัฒนธรรมในแถบเมดิเตอร์เรเนียนต่างเล่าตรงกันว่านรกคือสถานที่ที่อยู่ใต้ดินและเต็มไปด้วยผู้คนที่ถูกทรมาน ทำให้กาลาตีมองว่าภัยพิบัติอันแสนสลดนี้อาจเป็นที่มาของเรื่องเล่าเกี่ยวกับนรกก็เป็นได้
===============================
อีกเรื่องที่ผมสนใจอยู่ในตอน Beasts Unleashed ที่เล่าถึงตำนานของซาตานครับ
ซาตาน มาจากคำว่า Ha-Satan ในภาษาฮีบรูซึ่งในยุคนั้นซาตานเป็นเหมือนลูกน้องของพระเจ้าที่ถูกส่งไปทำภารกิจต่างๆ ตามที่พระเจ้าสั่งการ เช่น ถูกส่งไปทดสอบความศรัทธาของโยบโดยการที่ซาตานสร้างสารพัดหายนะในชีวิตของโยบด้วยความหวังว่าจะทำให้โยบเลิกศรัทธาในพระเจ้า (เพราะซาตานเชื่อว่าที่โยบมีท่าทีศรัทธาพระเจ้านั้นเป็นเพราะเขามีชีวิตที่สุขสบาย) แต่กลายเป็นว่าแม้โยบจะสูญเสียทุกสิ่งแต่เขาก็ยังศรัทธาในพระเจ้าอยู่
แล้วในเวลาต่อมาในหนังสือเล่มท้ายๆ ของพันธสัญญาเก่า ถึงจะเริ่มเล่าว่าซาตานเริ่มรู้สึกว่าตนมีอำนาจมากกว่าพระเจ้า และคิดว่าตนต่างหากที่ควรคุมทุกอย่าง แล้วนั่นก็นำไปสู่หนังสืออิสยาห์ที่มาพร้อมตำนานของลูซิเฟอร์ อดีตเทวทูตที่ก่อศึกกับพระเจ้าจนถูกเนรเทศ แต่ในจุดนั้นอำนาจของซาตานก็ยังไม่เยอะเท่าที่เรารู้ในทุกวันนี้ พระเจ้ายังมีอำนาจมากกว่าซาตานมากอยู่
กล่าวกันว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพันธสัญญาเก่าเขียนโดยนักเขียนชาวอิสราเอลผู้นับถือศาสนายิว ซึ่งยังไม่มีแนวคิดว่าซาตานจะมีตัวตนอิสระที่จะสามารถสู้กับพระเจ้าได้ แต่พอมาถึงพันธสัญญาใหม่ ในพระวรสารนักบุญมัทธิว มาระโกและลูกา ก็จะเริ่มนำเสนอซาตานในเวอร์ชั่นที่มีอำนาจมากกว่า ไม่ว่าจะการไปล่อลวงพระเยซูด้วยการเสนออำนาจทางโลกให้เพื่อแลกกับการสักการะซาตาน ในเวอร์ชั่นนี้ดูเหมือนซาตานจะไม่ได้เป็นลูกน้องของพระเจ้าแล้ว แต่กลายมาเป็นผู้ล่อลวงให้คนทำบาป มีความเป็นเอกเทศในตนเอง และเมื่อถึงในหนังสือวิวรณ์ ซาตานก็กลายเป็นคู่ปรับกับพระเจ้าแบบเต็มตัว และมีการประกาศสงครามกับพระเจ้า ก่อนจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ในที่สุด
พอถึงศตวรรษที่ 5 ด้วยงานเขียนของเซนต์ออกัสตีน (Augustine) ซึ่งเป็นนักเทววิทยาที่ทรงอิทธิพล ได้เริ่มเผยแพร่แนวคิดว่าซาตานคือสิ่งชั่วร้ายล้วนๆ แล้วก็ได้ชื่อใหม่ๆ อย่าง ซามาเอล และ บีเอลเซบับ และกลายเป็นว่ามีการตีความใหม่จนได้ข้อสรุปว่าทุกเรื่องเลวร้ายในไบเบิ้ลนั้น มีที่มาจากการกระทำของซาตานทั้งสิ้น โดยเฉพาะในหนังสือปฐมกาลที่ซาตานไปเป็นงูในสวนอีเดนล่อลวงอดัมกับอีฟ แล้วพอถึงศตวรรษที่ 5 – 10 ยุโรปก็เข้าสู่ยุคมืด สภาพชีวิตผู้คนที่หดหู่ในยุคนั้นก็โดนโบ้ยให้เป็นความผิดของซาตานเสียส่วนใหญ่
แต่กลายเป็นว่าพอถึงศตวรรษที่ 14 ซาตานเริ่มถูกล้อเลียนให้เป็นเหมือนตัวตลก เป็นเหมือนตัวร้ายขี้แพ้ในการ์ตูน Looney Tunes ที่มักจะโดนเทพ พระเจ้า หรือนักบวชเอาชนะได้เสมอ หรือแม้ใน Dante’s Inferno ซาตานก็ดูพิกลพิกาลและไร้อำนาจอย่างน่าขัน
แต่พอถึงช่วงยุโรปยุคกลาง ซาตานเริ่มกลับมาเป็นผู้ชั่วร้ายที่ทรงอำนาจอีกครั้งเมื่อกาฬโรคระบาดจนทำให้คนตายไปกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนประชากร และเรื่องแบบนี้ก็เกิดที่เกาะอังกฤษด้วย ทำให้ความน่ากลัวของซาตานหวนกลับมาอีกครั้งจนก่อให้เกิดคนเคร่งศาสนาอย่างลัทธิเพียวริตันที่เคร่งศาสนาแบบสุดๆ ด้วยความเชื่อว่าพระเจ้าจะได้ปกป้องพวกเขาอย่างเต็มรูปแบบมากกว่าคนที่ปฏิบัติแบบไม่เคร่งครัด
และกลุ่มเพียวริตันส่วนหนึ่งก็เดินทางไปสู่ดินแดนใหม่ที่อเมริกา แถบนิวอิงแลนด์ และนำเอาเรื่องซาตานไปเผยแพร่อย่างเข้มข้น ซึ่งคนกลุ่มนี้จะตีความสิ่งชั่วร้ายหรือสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นซาตานทั้งหมด เช่น เสียงหมาป่าซึ่งมีอยู่ชุกชุมในแถบนั้น แต่กลายเป้นว่าเสียงหมาป่าคือสิ่งแปลกสำหรับคนอังกฤษอย่างพวกเขา เพราะที่อังกฤษนั้นหมาป่าสูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อราวๆ ยุค 1500
ดังนั้นเสียงหอนของหมาป่าจึงถูกเชื่อมกับความชั่วร้าย พวกเพียวริตันมองว่าหมาป่าคือผู้ร่วมก่อการชั่วกับซาตาน – นี่คือเหตุผลหนึ่งที่เสียงหมาหอนกลายเป็นตัวแทนของสิ่งน่ากลัวและชั่วร้าย ซึ่งความเชื่อนั้นก็ยังคงอยู่ยงมาจนถึงปัจจุบัน (โดยเฉพาะในหนังผีทั้งหลาย)
ชาวเพียวริตันยังมองว่าคนพื้นเมือง (ซึ่งก็คือชนชาวอินเดียนแดง) นับถือซาตาน และความกลัวซาตานอันมหาศาลนี้ก็ได้นำมาสู่การล่าแม่มด – เพราะพวกเขาเชื่อว่าซาตานได้ยั่วยุสตรีให้ทำผิด (แต่ประเด็นนี้ก็ตีความได้ว่า มีคนตั้งใจปั้นเรื่องนี้ขึ้นเพื่อจัดการผู้หญิงที่ไม่เชื่อในคำสั่งของผู้ชาย – ผู้หญิงหัวอิสระ – อะไรเหล่านั้นเป็นต้น)
==============================
สัตว์ในตำนานอีกหนึ่งที่ผมสนใจคือเลไวอาธาน (Leviathan) ที่ในหนังสือโยบได้กล่าวถึงไว้ว่าถูกสร้างขึ้นในวันที่ 5 ของการสร้างโลก – อย่างไรก็ดีเลไวอาธานมีความเหมือนกับอสุรกายตัวอื่นๆ ที่มีมาก่อนคัมภีร์ไบเบิล เช่น ไฮดร้าในเทพปกรณัมกรีก หรือในเทฟปกรณัมอียิปต์ก็มี เอเพ็ป (Apep) งูใหญ่หรือมังกรที่มีเกล็ดแข็งเหมือนหิน หรือชาวบาบิโลเนียก็มีเทวีแห่งทะเลในยุคกำเนิดโลกนาม ทียามัต (Tiamat) ที่ออกอาละวาดในทะเลและมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ปราบได้ – ซึ่งดูจะเหมือนกับที่ในไบเบิ้ลบอกว่ามีพระเจ้าเท่านั้นที่จะฆ่าเลไวอาธานได้
ข้อสังเกตหนึ่งคือการที่หลายวัฒนธรรมมีการกล่าวถึงสัตว์ประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกันเช่นนี้ก็อาจเพราะมันมีที่มาจากสิ่งที่คนเคยพบเคยเห็นมาก่อน ซึ่งหลักฐานหนึ่งคือในปี ค.ศ. 77 ในหนังสือประวัติศาสตร์ธรรมชาติที่เขียนโดย Pliny the Elder นักธรรมชาตินิยมของโรมัน ได้อธิบายถึงกระดูกของสัตว์ที่ถูกแสดงอยู่ในโรงมหรสพที่ใหญ่ที่สุดของกรุงโรม กล่าวกันว่าซี่โครงของมันสูงกว่าช้าง ลำตัวยาวกว่า 40 ฟุต กระดูกสันหลังหนา 1.5 ฟุต และว่ากันว่ามันถูกค้นพบที่เมือง Judea ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่หนังสือโยบถูกเขียนขึ้น และยังมีการพบเห็นซากสัตว์ขนาดใหญ่ที่ลอยมาเกยตื้นอีกหลายครั้ง เพียงแต่การพบเหล่านั้นไม่ได้รับการบันทึกที่ละเอียดพอ
จนถึงปี 1719 Robert Darwin ทวดของ Charles Carwin ได้ค้นพบหินที่มีกระดูกของสัตว์บางชนิดฝังอยู่ ซึ่งในปัจจุบันเราได้คำตอบแล้วว่ามันคือส่วนหนึ่งของโครงกระดูกพลีสิโอซอร์สัตว์เลื้อยคลานใต้ทะเลที่สูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 66 ล้านปีก่อน ที่ว่ากันว่ามันยาวได้ถึง 50 ฟุต โดยรวมแล้วรูปร่างมันคล้ายงูยักษ์หรือมังกร
จึงมีการคาดกันว่าสัตว์ในตำนานเหล่านั้น คงมีที่มาจากซากขนาดยักษ์ของสัตว์เหล่านี้ ซึ่งกว่าจะถูกระบุได้ว่ามันคืออะไร ก็ปาเข้าไปราวๆ ปี ค.ศ. 1822
หรืออย่างตำนานคราเคนก็น่าจะมีที่มาจากหมึกโคลอสซัล (Colossal Squid) ซึ่งสามารถโตได้ถึง 45 ฟุต (เกือบ 14 เมตร) และหนักกว่า 1,500 ปอนด์ (ประมาณ (680 กิโลกรัม) และนัยน์ตาของมันใหญ่ได้ถึง 12 นิ้ว ก็คือเท่าหัวคนเลยล่ะครับ
ยอมรับเลยครับว่าปีนี้ของ Holy Marvels ค่อนข้างถูกใจผมมากเลย เพราะมันมาพร้อมข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลายอย่างที่สามารถเชื่อมโยงกับเรื่องต่างๆ ได้ จนทำให้เรามองเห็นภาพหลายๆ ตำนานชัดเจนขึ้น ซึ่งในส่วนของความเชื่อนั้นผมจะไม่ก้าวล่วงน่ะนะครับ แต่สำหรับผม การที่เราได้เห็นความเชื่อมโยงต่างๆ ได้เห็นที่มาที่ไปของสิ่งต่างๆ มันทำให้เรามองภาพรวมได้ชัดขึ้น และเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในโลกมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าความสามารถในการเข้าใจโลก เห็นโลกแบบที่มันเป็น “จริง” นั้น คือแนวทางหนึ่งที่จะทำให้เราอยู่บนโลกได้ง่ายขึ้น และสามารถปรับตัวเข้าสู่สรรพสิ่งบนโลกได้อย่างคล่องตัวขึ้น
เป็นอีกหนึ่งสารคดีที่คนชอบเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดครับ
สองดาวครึ่งกว่าๆ ครับ
(7.5/10)














