Action

Misfire (2014) ล่าแค้นแผนระห่ำ

เจ้าหน้าที่ DEA โคล (Gary Daniels) พบว่าซาร่า (Alma Cruz) ภรรยาเก่าของเขาหายตัวไป จากร่องรอยก็เป็นไปได้ว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับคดีที่เธอกำลังตามอยู่ (เธอเป็นนักข่าวน่ะครับ) โคลเลยต้องลงสนามตามล่าหาความจริง โดยร่วมมือกับเกรซี่ (Vannessa Vasquez) ตากล้องที่ทำงานร่วมกับซาร่า

ผมดูเรื่องนี้ต่อจาก Rumble หนังปี 2016 ที่ Daniels นำแสดงและกำกับโดย R. Ellis Frazier เหมือนกัน ว่าง่ายๆ คือเรื่องนี้มาก่อนครับ ครั้นพอได้ดูผมว่ามันก็ไม่ต่างกันนัก เอาแค่พล็อตก็มาทางเดียวกันแล้วครับ คนใกล้ตัวพระเอกโดนจับไป แล้วพี่ก็ต้องลงสนามสืบ เพียงแต่ทิศทางอาจจะต่างกันหน่อย โดยเรื่องนี้ก็ออกแนวสืบสวนตามรอยว่าใครจับซาร่าไป และมันต้องการอะไร ซึ่งหนังแนวนี้ถ้าเล่าดีๆ มันก็จะสนุกครับ มันต้องทิ้งปม สางปม มีหักมุมบ้าง แล้วก็มีแอ็คชั่นบ้าง

ในขณะที่เรื่องนี้นี่อะไรๆ มันค่อนข้างธรรมดาไป คือมันก็มีปมนั่นแหละ มีการตามสืบแล้วก็มีแอ็คชั่นนั่นแหละ แต่การเล่ามันธรรมดา มันไม่ได้ดึงให้คนดูอยากตาม มันไม่ได้เร้าให้คนดูระทึกไปด้วย หนังเลยออกแนวเรื่อยๆ น่ะครับ ยอมรับว่าระหว่างดูก็ต้องใช้ความอดทนอยู่เหมือนกัน

ที่ดูนี่ส่วนหนึ่งก็เพราะตามเก็บผลงานของพี่ Gary Daniels ซึ่งเก็บนี่ไม่ได้หมายความ “ซื้อ” นะครับ แต่ดูเท่านั้นแหละ กะจะดูให้ครบ เพราะอย่างน้อยหนังสมัยยุค 90 ตอนพี่เขายังมาแรงในตลาดหนังเกรดบี ผมว่างานของพี่เขาก็ยังได้อยู่ แต่กับเรื่องนี้ก็เหมือนมาช่วงตลาดวายแล้วน่ะครับ ยุคสมัยมันผ่านไปแล้ว อีกอย่างคือผมว่าลีลาการเล่าหนังของคนทำหนังยุค 90 กับยุคใหม่นี่มันออกจะต่างกันนะ กลายเป็นว่าหนังยุค 90 ที่แม้จะเป็นเกรดบีก็ตาม แต่มันยังพอเพลิน ยังพอดูได้ แต่กับหนังแอ็คชั่นเกรดรองยุคใหม่ๆ นี่มันเหมือนอะไรๆ ก็ชืดไปหมด ทั้งแอ็คชั่น ทั้งบทสนทนา ทั้งการเดินเรื่อง กลายเป็นว่าหนังเกรดเดียวกันในยุค 90 ยังโอเคกว่าเยอะ

โดยรวมหนังเรื่องนี้ก็เรื่อยๆ ไปในโทนชืดๆ น่ะครับ ตัวหนังมันไม่ได้กระตุ้นให้เราอยากตามดูต่อสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยช่วง 15 นาทีสุดท้ายของหนังมันยังพอโอเคขึ้นบ้าง ได้เห็นพี่ Gary แกบู๊บ้าง ก็พอได้อยู่ แต่นั่นล่ะครับ แค่ 15 นาทีมันช่วยหนังทั้งเรื่องได้ไม่ไหวหรอก

แต่กลายเป็นว่าผมโอเคกับตอนจบนะครับ หลังทุกอย่างคลี่คลายโคลก็ต้องกลับมาทำงานต่อ ส่วนเกรซี่ก็ต้องหลบไปที่อื่นสักพักเพื่อป้องกันว่าจะโดนพวกผู้ร้ายตามมารังควาน แล้วเธอก็ขับรถจากไป ส่วนโคลก็ยืนมองเธอค่อยๆ เคลื่อนออกไป ไกลขึ้นๆ ก่อนจะหันหลังไปแล้วก็เดินไปตามทางเพียงลำพัง

ผมชอบซีนแบบนี้ครับ อารมณ์มันประมาณว่าพระเอกได้ไปผจญภัย ได้เจอทั้งมิตรทั้งศัตรูอยู่พักหนึ่ง แต่พอเรื่องจบลงสุดท้ายทุกคนก็แยกย้าย แล้วพระเอกของเราก็กลับมาเหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง โดยภาพที่เราเห็นนี่ก็คือเห็นเขาเดินไปเพียงลำพัง บางทีผมก็คิดนะว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรบ้าง จะเหงาไหม จะโหวงไหม แล้วเขาจะไปทำอะไรต่อ จะไปกินข้าวเหรอ? หรือไปซื้อของใช้? หรือไปไหนต่อ? มันให้อารมณ์แบบ “หนังจบ แต่อารมณ์ไม่จบ” ประมาณนั้นน่ะครับ

ก็น่าสนใจดีครับ เพราะตัวหนังน่ะผมเฉยๆ แต่กลายเป็นว่าฉากจบกลับทำให้ผมจดจำหนังเรื่องนี้ได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเพลงด้วยครับ เพลงที่หนังใช้ตอนจบคือ These Twisting Paths ของ Dan Leigh ด้วยเนื้อหาและท่วงทำนองมันเลยให้อารมณ์หน่วงๆ เข้ากับอารมณ์ตอนจบของหนัง ถ้าอยากเข้าใจอย่างไรลองไปหาฟังกันดูครับ ใน Youtube มี

ผมเชื่อนะว่าถ้าท่านเปิดเพลงนี้ฟังตอนกลับบ้านหลังจากไปเที่ยวกับเพื่อนหรือใครมา แล้วยามเราต้องกลับบ้านเพียงลำพังน่ะครับ ลองเปิดเพลงนี้ดู ผมว่ามันจะทำให้ท่านเกิดอารมณ์บางประการประมาณที่ผมบอกไปนี่แหละ ซึ่งมันอาจจะเหงานะ แต่ผมว่าห้วงอารมณ์แบบนี้มันคุ้มค่าที่จะรู้สึก มันไม่ใช่ความเหงาในเชิงลบที่เป็นความหดหู่ แต่มันเป็นผลพวงที่สืบเนื่องกันมา จากเมื่อกี้ครึกครื้นเฮฮาและมีใครสักคนมาแชร์โมเมนต์ แชร์ความรู้สึกร่วมกัน กลายเป็นตอนนี้ต้องเดินเพียงลำพัง อยู่กับตัวเอง ไปตามทางของตน

สรุปว่าหนังไม่สนุกเท่าไหร่ครับ แต่ตอนจบแบบนี้โดนใจผมพอดี

ดาวกว่าๆ ครับ

(4.5/10)