Documentary (Series)

Mystery Files: Abraham Lincoln (2010) แฟ้มลับ: อับราฮัม ลินคอล์น

เขาคือประธานาธิบดีคนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่เสียชีวิตด้วยการถูกลอบสังหาร

สารคดีนำเสนอให้เห็นอีกด้านหนึ่งของลินคอล์น ผ่านทางการวิเคราะห์และบันทึกทางประวัติศาสตร์ เช่นความเห็นของศาสตราจารย์ Michael Burlingame ที่มองว่าการที่เขาก้าวเข้าสู่การเมืองน่าจะเป็นเพราะแรงผลักดันที่เขาไม่อยากต้องมีชีวิตเป็นชาวนาชาวไร่แบบพ่อ เขาจึงอ่านหนังสือและศึกษาอย่างหนักเพื่อยกระดับตนเอง และเพื่อเพิ่มความภาคภูมิใจให้ตนเอง – แบบที่นักการเมืองหลายๆ คนก็มีจุดเริ่มในลักษณะนี้

และจากบทความที่เขาเขียนในช่วงอายุ 20 ก็ได้สะท้อนให้เห็นว่าลินคอล์นในวัยหนุ่มนั้นมีพฤติกรรมที่ชอบประชดประชันและเสียดสี อย่างการเขียนบทความเพื่อล้อเลียนคู่แข่งทางการเมือง จึงประเมินกันว่าลินคอล์นในช่วงวัยหนุ่มนั้นอาจยังไม่ใช่คนใจเย็นและมีเมตตาแบบที่เขาเป็นเมื่อสูงวัยขึ้น

หลายคนมองว่าจุดเปลี่ยนสำคัญของลินคอล์นเกิดขึ้นในปี 1882 เมื่อเจมส์ ชิลด์ส (James Shields) หนึ่งในคนที่ถูกลินคอล์นเชือดเฉือนด้วยตัวอักษรท้าดวลกับลินคอล์นเพื่อปกป้องเกียรติของตนเอง โดยลินคอล์นได้สิทธิ์ในการเลือกอาวุธซึ่งเขาเลือกประลองด้วยดาบเพราะชิลด์สนั้นตัวเตี้ยครับ ดังนั้นลินคอล์นจะค่อนข้างได้เปรียบเพราะรัศมีดาบของลินคอล์นจะค่อนข้างไกลกว่า แต่แล้วการประลองก็ต้องยุติเมื่อมีคนเข้ามาไกล่เกลี่ย และเรื่องราวก็จบลงด้วยการที่ลินคอล์นกล่าวขอโทษต่อชิลด์ส

และเหตุผลที่หลายคนเชื่อว่าเรื่องนี้ส่งผลต่อลินคอล์นก็เพราะเมื่อใดก็ตามที่มีคนเอ่ยถามเขาถึงเรื่องนี้ ลินคอล์นจะพูดในทำนองว่า “หากคุณยังอยากเป็นเพื่อนผมอยู่ล่ะก็ คุณไม่ควรพูดถึงเรื่องนี้อีกเป็นอันขาด” จึงเป็นไปได้ว่าเขาอาจจะรู้สึกอับอาย และได้บทเรียนจากเรื่องนี้ รวมถึงเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตนมากกว่า – โดยเฉพาะสิ่งที่เขากระทำต่อคนอื่น – และนั่นทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น

ความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งก็คือตอนที่เขาอายุประมาณ 40 ปี ช่วงที่จู่ๆ เขาก็ตัดสินใจถอยออกห่างจากการเมืองกระแสหลักไปราวๆ 5 ปีซึ่งมันได้เปลี่ยนแปลงเขาจากการเป็นนักการเมืองทั่วไป สู่การเป็นรัฐบุรุษ โดยเขาได้กลับมาสู่วงการเมืองอีกครั้งด้วยจุดประสงค์ที่ต้องการจะเลิกทาส ซึ่ง Burlingame ได้วิเคราะห์เอาไว้ว่าเหตุผลที่ทำให้ลินคอล์นต่อต้านเรื่องการมีทาส ก็น่าจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเมื่อวัยเยาว์ ตอนที่เขาต้องออกจากโรงเรียนมารับจ้างทำงานตามคำสั่งของพ่อ เขาต้องไปทำงานที่แสนเหน็ดเหนื่อยสารพัดในฟาร์มของเพื่อนบ้านที่จ้างเขา เพื่อแลกกับเงิน 25 เซนต์ และในช่วงเวลานั้นมีกฎหมายที่ระบุว่ารายได้ใดๆ ก็ตามของเด็กที่อายุต่ำกว่า 21 ปี ต้องตกเป็นของพ่อ ดังนั้นโดยสรุปก็คือ เขาทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำทั้งวันเพื่อแลกกับเงินที่สุดท้ายแล้วเขาก็จะไม่ได้ถือมันไว้

จึงมีการเชื่อมโยงกันว่า ลินคอล์นอาจรู้สึกว่าตนเป็นเหมือนทาส ในขณะที่พ่อของเขาก็คือเจ้าของทาสนั่นเอง – และนี่คือพื้นฐานของเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องการจะเลิกระบบทาส

รายการยังนำเสนอประเด็นที่ว่าลินคอล์นเองก็เคยประสบกับภาวะซึมเศร้าอันเนื่องมาจากความสูญเสีย 2 ครั้งใหญ่ๆ (ครั้งแรกคือคนรักของเขาเมื่อวัยหนุ่ม อีกครั้งคือการสูญเสียลูกชาย) จนเขาต้องรับยาเพื่อบำบัดอาการ แต่เนื่องด้วยยาในสมัยนั้นมีผลข้างเคียงจากสารปรอท เลยส่งผลให้เขาฉุนเฉียวและหงุดหงิดง่าย จนในที่สุดเขาก็เลือกที่จะหยุดยาเพื่อที่จะได้นำพาตนเองออกจากสภาวะขี้หงุดหงิดนี้

ในแง่หนึ่งนี่อาจเป็นการบอกเล่าเรื่องในแง่ลบของชีวิตลินคอล์นนะครับ แต่รายการก็นำเสนอในทิศทางที่ว่า รัฐบุรุษผู้ยิ่งใหญ่เช่นลินคอล์นเองก็เคยมีช่วงที่พฤติกรรมไม่ได้น่ารักนัก แต่เขาก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นไปตลอดครับ เพราะเขาเติบโตขึ้น ใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียนและปรับเปลี่ยนตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น จากนักการเมืองที่ชอบใช้วาทะเชือดเฉือน ก็กลายเป็นผู้นำที่ให้เกียรติผู้อื่น ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้จากเรื่องราวได้ครับ ว่าคนเราพัฒนาได้ ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ หากมีความตั้งใจมากพอ

ถือเป็นสารคดีที่ทำให้ได้รู้ประวัติศาสตร์ ไปพร้อมๆ กับหันมาพิจารณาตรวจตราสิ่งที่เราเป็น

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)