หนังดราม่าว่าด้วย 2 พี่น้อง เอริน (Haley Lu Richardson) และแคล (Owen Teague) ที่ห่างเหินกันไปนาน แล้วก็ได้มาเจอกันอีกครั้งเพราะพ่อกำลังป่วยขั้นโคม่า ซึ่งหนังก็บอกเล่าช่วงเวลาไม่กี่วันที่พวกเขาได้มาเจอกัน ก็มีทั้งช่วงที่ทั้งคู่อึดอัดไม่รู้จะพูดอะไรต่อกันดี หรือช่วงที่ต่างฝ่ายต่างพยายามทำตัวเป็นปกติ (ทั้งที่คนดูก็รู้ว่ามันไม่ค่อยจะปกติหรอก) แล้วก็มีช่วงที่ทั้งสองต่างระเบิดความในใจออกมา คุยกันถึงเรื่องราวในอดีตที่ทำให้ชีวิตพวกเขาต้องลงเอยด้วยการเหินห่างกันแบบนี้
สมทบด้วย Gilbert Owuor ในบท เอซ คนดูแลพ่อของพวกเขา, Kimberly Guerrero ในบทวาเลนติน่า ที่ทำงานให้พ่อของพวกเขามานาน และ Asivak Koostachin มาเป็น โจอี้ ลูกชายผู้ร่าเริงของวาเลนติน่า
ก่อนเปิดดูผมก็พอจะเดาได้ครับ ว่าตัวหนังคงออกมาเป็นแนวดราม่าแบบอึมครึม ประมาณว่า 2 พี่น้องนี่จะต้องมีปมต่อกันแหงๆ และคนใดคนหนึ่งต้องมีปมกับพ่อด้วย ซึ่งก็เป็นไปตามนั้นทุกประการ แต่ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้เครียดจัดอะไรขนาดนั้นครับ ผมว่ามันกลางๆ นะ คือไม่ได้ Feel Good ดูแล้วสดชื่น แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เครียดจัดแบบดูแล้วโลกหม่นหมองไปเลย คือมันอยู่ตรงกลางน่ะครับ มีทั้งความสว่างและความมืด มีทั้งความกดดันตึงเครียด แต่ก็ยังมีความหวังอยู่รำไร ที่สื่อว่าสายใยของพี่น้องคู่นี้แม้จะมีเมฆหมอกมาบัง แต่ก็ยังมีความผูกพันตามประสาพี่น้องปรากฎอยู่ในเห็น
หนังเดินเรื่องแบบไปเรื่อยๆ ครับ แล้วความที่ตัวละครมีไม่เยอะก็เลยทำให้หนังอาจไม่ได้หวือหวาอะไร แต่ผมชอบนะ อย่างแรกเลยคือ 2 ดารานำอย่าง Richardson และ Teague เล่นได้ดีมาก พวกเขาสื่อตัวตนของตัวละครที่ได้รับค่อนข้างถึง คือดูแล้วเชื่อน่ะครับว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกันและมีบางสิ่งที่ยังติดค้างในใจต่อกัน สำหรับผมนี่แค่ดูพวกเขาก็คุ้มแล้วครับ ส่วนดารารายอื่นก็ถือว่าเล่นได้พอเหมาะ โดยเฉพาะ Koostachin ที่เหมาะกับบทโจอี้มากๆ เขาดูเป็นคนหนุ่มที่ร่าเริงและมีเอนเนอจี้เหลือเฟือในทุกสถานการณ์จริงๆ
ผมว่านี่เป็นหนังที่เหมาะกับการดูแบบเก็บรายละเอียดครับ เพราะแต่ละฉากแต่ละช่วงมันจะมีรายละเอียดที่สื่อถึงปมหรือความคิดของตัวละครมาให้เราได้จับสัมผัสอยู่เรื่อยๆ อย่างฉากที่เอรินใช้นิ้วแปรงฟันตอนต้องนอนค้างที่บ้าน มันสื่อเลยว่าเธอตั้งใจจะมาแค่แป๊บเดียวจริงๆ ไม่ได้คิดค้างคิดอะไรทั้งนั้น เลยไม่ได้เตรียมแปรงสีฟันหรืออะไรมาเลย แต่พอสถานการณ์เปลี่ยนเธอก็เลยตัดสินใจอยู่ต่อ หรือการที่แคลมักจะเป็นฝ่ายชวนคุยแต่เอรินมักจะเป็นฝ่ายเงียบ นี่คือสื่อให้เราสัมผัสถึงห้วงอารมณ์บางอย่างที่พี่น้องคู่นี้มีต่อกัน แม้ตอนต้นเรื่องเราจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็เถอะ แต่มันรู้สึกได้ถึงความตึง (Tension) ที่พวกเขามี
จัดเป็นหนังดราม่าที่ทำได้ถึงครับ มันบอกเล่าความรวดร้าวที่คนในครอบครัวมีต่อกันได้อย่างเห็นภาพและถึงอารมณ์ และปมสำคัญของหนังเลยก็คือการสื่อให้เห็นถึงผลลัพธ์ของการที่พ่อหรือแม่ทำอะไรบางอย่างกับลูก แล้วมันส่งผลถึงพวกเขาไปจนเติบใหญ่ ซึ่งมันอาจจะค้านกับแนวคิดที่ว่า “พ่อแม่ไม่มีวันทำร้ายลูกหรอก” แต่หากเราพิจารณาจากหนัง จากหนังสือ หรือจากข่าวต่างๆ หรือจากประวัติศาสตร์นับร้อยปีมานี้ ก็จะพบว่าในโลกนี้มีทั้งพ่อแม่ที่ดีและทำหน้าที่ของตนอย่างดีที่สุดเพื่อลูก – มีทั้งพ่อแม่แบบกลางๆ ที่ทำถูกบ้างผิดบ้างตามประสามนุษย์ปุถุชน – และขณะเดียวกันโลกก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองที่สร้างความเจ็บปวดรวดร้าวให้กับลูกหลาน บ้างก็เจ็บแค่ผิวๆ บ้างก็เจ็บบาดลึกกลายเป็นแผลเป็นที่ไม่มีวันหาย ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม
เรื่องเหล่านี้บางทีก็พูดยากนะครับ มันอาจไม่ใช่เรื่องที่คนเคยประสบพบเจอจะนำเอามาเล่าง่ายๆ ไม่ว่าจะเพราะความอายหรือไม่อยากให้ภาพพจน์ของพ่อแม่กับครอบครัวต้องเสียหายไป ซึ่งเรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนครับว่าจะสามารถรับมือได้หรือไม่ และจะสามารถรับมือได้อย่างไร อันนี้ก็อยากจะบอกเอาไว้ว่าสมัยนี้ถือว่าดีขึ้นหน่อยที่มีหน่วยงานให้บริการให้คำปรึกษาในเชิงจิตวิทยากันแพร่หลายกว่าสมัยก่อน ดังนั้นหากท่านใดที่รู้สึกว่าบาดแผลจากครอบครัวมันรบกวนการใช้ชีวิต ท่านก็สามารถหาคนคุย หรือจะลองไปรับบริการจากสถาบันต่างๆ ก็อาจเป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยบรรเทาความหนักอึ้งในใจของท่านได้ครับ
และอยากจะฝากถึงพ่อแม่ในฐานะคนเป็นพ่อน่ะนะครับ ว่ามันก็เกิดขึ้นได้นั่นแหละที่เราอาจทำให้ลูกของเราเสียใจ เพราะเราก็คนครับ เราผิดพลาดกันได้ แต่สิ่งสำคัญมันคือว่า เราจะแก้ไขมันไหม เราจะปรับปรุงตัวเราเพื่อไม่ให้ความผิดพลาดนั้นเกิดซ้ำได้ไหม – รวมถึงเรียนรู้ที่จะไม่ทำผิดในเรื่องอื่นๆ อีกไหม – วิชาพ่อแม่นี่ต้องเรียนกันไปชั่วชีวิตนั่นแหละครับ และมันมีอะไรให้อัพเดตอยู่ตลอด ยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนก็ยิ่งต้องตามให้ทัน
และอีกสิ่งที่ต้องตามให้ทันคือ “ใจของเราเอง” ครับ เราควรรู้จักมัน ควรรู้เท่าทัน ควรเรียนรู้ที่จะควบคุมตนเองโดยเฉพาะยามที่เรามีความโกรธ มีความหงุดหงิดผุดขึ้นในใจ อันนี้ถือเป็นทักษะพื้นฐานที่หากทำได้นี่จะสามารถช่วยเราป้องกันปัญหาได้ครอบจักรวาล และเป็นวิชาชีวิตที่สำคัญที่ควรส่งต่อให้ลูกหลานด้วย
สำหรับหนังเรื่องนี้ ก็ถ่ายทอดประเด็นนี้ออกมาได้ดีครับ อันนี้ก็ต้องชมมือเขียนบท Mike Spreter, Scott McGehee และ David Siegel ที่ร่วมกันกลั่นบทออกมา ก่อนที่ 2 คนหลังจะมารับหน้าที่เป็นผู้กำกับอีกหนึ่งตำแหน่ง ซึ่งตัวหนังอาจไม่ถึงกับสุดยอดไร้ที่ติน่ะนะครับ แต่ก็ถือว่าทำได้ดี ทำออกมาได้น่าจดจำ ซึ่งอย่างหนึ่งที่ผมชอบคือความเรียบง่ายของหนังครับ หนังเล่าไปเรื่อยๆ ไม่หวือหวาไม่เล่นเทคนิคอะไร แต่ก็สามารถสื่ออะไรๆ ออกมาให้คนดูรับรู้ได้
อีกหนึ่งจุดเด่นคือการถ่ายภาพโดย Giles Nuttgens แห่ง God Help the Girl, Hell or High Water และ Enola Holmes ทั้ง 2 ภาค ซึ่งต้องยอมรับเลยครับว่าถ่ายภาพได้อารมณ์ โดยเฉพาะช็อตกลางแจ้งที่ลมโกรกพัดตลอดเวลา ตอนดูฉากเหล่านี้ไปสักระยมันทำเอาผมรู้สึกเหมือนโดนลมพัดใส่หน้าตามไปด้วยเลย
และผมชอบโลเคชั่นหนึ่งเป็นพิเศษครับ นั่นคือตอนที่ 2 พี่น้องไปยืนกันตรงเหมืองคอปเปอร์เฮด ที่เอรินเปรียบรอยริ้วของเหมืองกับ Dante’s Inferno น่ะครับ ซึ่งชื่อเหมืองนี้เป็นชื่อที่แต่งขึ้นครับ ส่วนสถานที่จริงที่หนังไปถ่ายก็คือที่เหมือง Golden Sunlight ที่ Jefferson County ในมอนทาน่านั่นเอง ตอนเห็นภาพรอยริ้วของเหมืองครั้งแรกนี่ผมร้องโอ้โหเลยครับ เพราะมันสวยและดูยิ่งใหญ่มากจริงๆ
เป็นหนังดราม่าอีกเรื่องที่ทำออกมาแบบเรียบง่าย ดูได้เรื่อยๆ และมีอะไรให้เก็บไปคิด ใครชอบแนวนี้ก็จัดได้เลยครับผม
สองดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Recommended Movies













