ภาคต่อที่ทำลงวีดีโอเลยครับ หนนี้เหตุมาเกิดในอเมริกา ที่เมืองลาสเวกัส เมื่อ 4 หนุ่มตั้งใจจะมาจัดงานปาร์ตี้สละโสดให้ สก็อตต์ (Brian Hallisay) ที่กำลังจะแต่งงานกับเอมี่ (Kelly Thiebaud) พวกเขาก็เลยไปเฮ้วกันสุดเหวี่ยงครับ แต่ก็ตามสูตรน่ะนะครับ พวกเขาเริ่มหายตัวไปอย่างลึกลับทีละคนๆ จนในที่สุดก็ได้รับคำเฉลยว่าพวกเขากำลังโดน Elite Hunting Club จับมาทรมานอย่างโหดเหี้ยมเพื่อความหฤหรรษ์ของสมาชิกคลับ
หลังจาก 2 ภาคแรกทำเงินรวมกันทั่วโลกระดับร้อยล้าน ก็เลยมีความคิดที่จะทำภาคต่อครับ แต่พอดีว่า Eli Roth ผู้กำกับและเจ้าไอเดียดั้งเดิมเขามีปรัชญาว่าไม่ควรทำหนังเกิน 2 ภาค ไม่งั้นมันจะเกร่อ และเขาเองก็ไม่มีไอเดียสำหรับภาคต่อแล้วด้วย ก็เลยโบกมืออำลาครับ ซึ่งอำลาในที่นี้คือไม่มาข้องแวะใดๆ กับหนังตอนใหม่ แม้แต่เก้าอี้ผู้อำนวยการสร้างพี่ท่านก็ไม่นั่งครับ แต่พี่ท่านก็ยังมีน้ำใจและอวยพรให้ผู้ที่มารับไม้ต่อโชคดีละกัน
แล้วไม้ก็ถูกส่งต่อมาให้ Scott Spiegel ที่เคยกำกับ From Dusk Till Dawn 2: Texas Blood Money แล้วก็อำนวยการสร้าง Hostel 2 ภาคแรก โดยเขามารับหน้าที่กำกับแทน ส่วนทุนสร้างก็จบที่ประมาณ $6 ล้านซึ่งมากกว่าภาคแรกและน้อยกว่าภาค 2
ว่าตามจริงหนังก็ถือว่าดูได้ครับ แบบไม่คิดมากน่ะนะครับ ซึ่งสำหรับผมแล้วแน่นอนว่าภาคแรกคือดีสุด รองลงมาคือภาค 2 ส่วนภาคนี้จริงๆ ในแง่ของความโหดนี่ก็ไม่แพ้ภาคก่อนๆ หรอกครับ มีฉากหวาดเสียวชวนสยองมาเสิร์ฟเยอะอยู่ เพียงแต่บทมันมีบางอย่างที่ดูไม่เมคเซ้นส์แล้วก็ดูแอบขัดๆ กับ 2 ภาคแรกยังไงก็ไม่รู้ ซึ่งก็อย่างที่บอกครับว่าถ้าดูแบบไม่คิดมาก ดูเอาความโหดตามประสาหนังแนวนี้ผมว่าก็พอได้ แต่ถ้าดูในฐานะหนังภาคต่อของ Hostel แล้ว มันรู้สึกเลยว่าบางอย่างมันยังไม่ใช่
หลักๆ เลยคือการบริหารงานของ Elite Hunting Club ในอเมริกานี่มันดูมีช่องโหว่เยอะ คือองค์กรนี้ใน 2 ภาคแรกมันดูมีกฎและกติกาที่ชัดเจน และทุกคนก็ต้องทำตามนั้น ซึ่งทั้งลูกค้าและเจ้าหน้าที่ในองค์กรนี่จะนอกแถวไม่ได้เลย ต้องปฏิบัติตามนั้นเป๊ะ อีกทั้งบุคลากรที่ควบคุมงานภาคสนามก็มีเยอะ คือดูแล้วมันพอจะเชื่อได้น่ะครับว่าทำไมองค์กรนี้ถึงปิดเป็นความลับได้มานาน ซึ่งในแง่หนึ่งมันก็แอบสร้างความผวาเสียวสันหลังให้คนดู เพราะเราไม่รู้เลยว่ามันจะมีองค์กรแบบนี้อยู่แถวบ้านเราไหม
แต่ภาคนี้รูปแบบการทำงานขององค์กรในอเมริกา บางอย่างก็ดูหละหลวม บุคลากรก็ดูน้อยๆ ยังไงก็ไม่รู้ ทั้งที่สถานที่ก็ออกใหญ่โต และกฎกติกาก็ดูเหมือนจะถูกแหกอยู่เนืองๆ คือต้องบอกว่าสาขาในอเมริกานี้ดูจะขลังน้อยกว่าจนไม่น่าจะรักษาความลับได้ขนาดนั้น อีกทั้งความวุ่นวายตอนท้ายนี่ก็สะท้อนเลยครับว่าระบบการดูแลขององค์กรที่นี่มันไม่เวิร์คเลยจริงๆ ถึงทำให้เกิดความวุ่นวายขนานใหญ่แบบที่เป็นได้ แล้วไหนจะตอนจบที่จริงๆ หนังก็พยายามหักมุมนะ แต่ผมว่ามันกลับทำให้องค์กรนี้ดูบ่มิไก๊หนักขึ้นไปอีก แบบที่ผมเชื่อว่าถ้าเป็นองค์กรนี้ในภาคต้นฉบับ เหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
แต่ก็พอเข้าใจได้ครับ คนทำคนละคน เพราะ 2 ภาคแรก Roth ทั้งกำกับและเขียนบท แต่ภาคนี้ได้ Michael D. Weiss มาเขียนใ ห้ซึ่งผลงานที่ผมว่าพอไปวัดไปวาได้คือ Journey to the Center of the Earth ฉบับปี 2008 – โดยเขาเขียนร่วมกับคนอื่น – แต่ถ้างานพี่เขาล้วนๆ ก็อย่าง I’ll Always Know What You Did Last Summer, The Butterfly Effect 2, The Scorpion King: The Lost Throne แล้วก็ Eraser: Reborn แต่ละเรื่องก็พอจะบ่งบอกอะไรได้อยู่น่ะนะครับ
และอย่างไรก็ดี นี่ก็กลายเป็นผลงานการกำกับชิ้นสุดท้ายของ Spiegel ครับ เขาเสียชีวิตในปี 2025 ก็ต้องขอไว้อาลัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
สรุปคือในแง่หนังเชือดโหด หนังก็ยังพอตอบโจทย์ได้ แต่ในฐานะหนังภาคต่อแล้ว ถือว่าขลังน้อยลงครับ
ไม่ถึงสองดาวครับ
(5.5/10)
หมวดหมู่:Horror, Movie Reviews, Slasher Movies












