หลงอิ๊จือ (กุ๊ฟง, Ku Feng) คือจอมยุทธที่ทุกคนมองว่าเป็นฝ่ายคุณธรรม แต่จริงๆ แล้วเขานั้นอยู่เบื้องหลังเรื่องชั่วร้ายหลายอย่าง หนึ่งในนั้คือการใส่ความจอมดาบคู่ หลุยลิ (เดวิด เจียง, David Chiang) ว่าเป็นคนปล้นสำนักเหลียนเซิน อีกทั้งยังวางแผนประลองกับหลุยลิเพื่อบีบให้เขาต้องตัดแขนตนเอง ซึ่งพอหลุยลิเสียแขนไปแล้ว เขาก็ผันตัวมาเป็นเสี่ยวเอ้อในร้านของ เถ้าแก่หลี่ (หวังชิงเหอ, Wong Ching Ho)
แล้วในเวลาต่อมา จอมดาบคู่ฟงจิ้นเจี๊ยะ (ตี้หลุง, Ti Lung) ก็ตามรอยเหตุร้ายต่างๆ มาถึงยังหมู่บ้านพยัคฆ์ ซึ่งเขาสงสัยว่า เจ้าบ้านเฉินเจิ้นหนาน (Chen Sing) อยู่เบื้องหลังเหตุร้ายในยุทธภพ แต่ก็แน่ล่ะครับว่างานนี้มันก็ไปเกี่ยวกับหลงอิ๊จืออีกจนได้ แล้วระหว่างทางจิ้นเจี๊ยะก็ได้รู้จักกับหลุยลิ ทั้งสองจึงคบหากันเป็นสหาย ในขณะที่จิ้นเจี๊ยะเองก็ยังคงเดินหน้าสืบเรื่องหมู่บ้านพยัคฆ์ต่อไป – แล้วสุดท้ายเรื่องของพวกเขาจะลงเอยเช่นไร คำตอบก็อยู่ในหนังครับ
สมทบด้วย เจิ้งเหล่ย (Cheng Lei) ในบทเจ้าสำนักเหอเหว่ย, เหยินซีกวน (Yen Shi Kwan) เป็นบทประกอบเป็นลูกศิษย์ของเหอเหว่ย, หลี่ชิง (Li Ching, Ching Lee) เป็นปาเจียว สาวชาวบ้านที่มีใจให้หลุยลิ และเฝิงเค่ออัน (Fung Hark On) โผล่หน้าแว๊บๆ เป็นหนึ่งในสมุนของหมู่บ้านพยัคฆ์ ตรงสะพานตอนที่หลุยลิบุกไปแก้แค้น และหนังกำกับโดย จางเชอะ (Chang Cheh) เจ้าเก่าครับ
ภาคนี้เล่าเรื่องของเดชไอ้ด้วนคนใหม่ เนื่องจากคนเก่าอย่างหวังหยู่ได้แยกทางกับค่าย Shaw Brothers ซึ่งเป็นการจากกันด้วยไม่ดีจนก่อให้เกิดคดีความใหญ่โต อันนำมาสู่บทลงเอยที่หวังหยู่ถูกแบนจากหลายค่ายหนังในฮ่องกง ส่งผลให้เขาไปหาลู่ทางในการทำหนังที่ไต้หวันแทน ส่วนทางค่าย Shaw ก็ตัดสินใจเข็นเดวิด เจียงขึ้นมาเป็นเดชไอ้ด้วนแทน แล้วก็แน่นอนว่าบทบาทนี้สร้างชื่อให้กับเขาอย่างมหาศาล
สำหรับตัวหนังนั้นก็ถือว่ามาทางเดียวกับเดชไอ้ด้วนภาคแรกครับ ตอนต้นก็แนะนำตัวละคร ก่อนจะนำไปสู่เหตุการณ์ที่ทำให้พระเอกของเราต้องแขนขาด แล้วจากนั้นครึ่งแรกของหนังก็จะเล่าถึงวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป จากจอมยุทธที่องอาจกลายมาเป็นเสี่ยวเอ้อ แต่กระนั้นเขาก็ยังมีฝีมืออยู่ครับ แล้วก็แนะนำตัวละครอื่นๆ ก่อนจะผูกเรื่องนำไปสู่เหตุในตอนไคลแม็กซ์ ที่พระเอกและผู้ร้ายต้องปะทะกันแบบแลกชีวิต
หนังได้พลังการแสดงของเดวิด เจียงมาบวกกับตี้หลุงครับ แต่ส่วนตัวผมว่าคนที่เด่นโดดเด้งจริงๆ ต้องยกให้กุ๊ฟงที่ดูเป็นวายร้ายมากบารมีและแผนยังสูงอีกต่างหาก ซึ่งระหว่างดูมันก็รู้สึกน่ะนะครับว่าหนังดูจะให้พื้นที่ตัวร้ายค่อนข้างมาก แล้วก็เล่นกับประเด็นวิญญูชนจอมปลอมได้อย่างดีอยู่
ในเรื่องนี่ หลงอิ๊จือ ก็เหมือนผู้มีอำนาจแบบที่ได้อำนาจมาด้วยวิธีที่ไม่ซื่อน่ะครับ อย่างการสร้างชื่อของเขาก็มักจะมีการวางแผนสร้างสถานการณ์เพื่อสร้างภาพให้ตนเองดูเป็นจอมยุทธทรงคุณธรรม เวลาอยู่ต่อหน้าคนหมู่มากก็จะพูดดี มีหลักการ ดูหล่อเอามากๆ น่ะครับว่างั้นเถอะ แต่แท้จริงแล้วนี่พี่ท่านเป็นคนประเภทพร้อมจะฆ่าคนได้นับไม่ถ้วนเพื่อให้ตนเองบรรลุจุดหมาย แล้วก็คิดแผนล่อคนให้มาตกหลุม ทำลายชื่อเสียงคนอื่นเพื่อเพิ่มความมั่นคงทางอำนาจให้กับตนเอง
และไม่ว่าท่านจะชอบหรือไม่ แต่คนแบบนี้มีอยู่ในทุกยุคทุกสมัยครับ
ส่วนคิวบู๊ว่าตามตรงแล้วปริมาณไม่เยอะนะ แต่ถือว่าทำออกมาได้สะใจ โดยเฉพาะตอนที่จิ้นเจี๊ยะโดนรุมที่หมู่บ้านพยัคฆ์กับตอนท้ายที่หลุยลิองค์ลง ลุยคนร้ายที่มาเป็นร้อยเสียเหี้ยน ถือว่ามันส์ครับ มีไม่เยอะ แต่พอถึงคราวตีกันก็มันส์สะใจ แล้วยังคงคอนเซปต์ความโหดเลือดสาดของหนังชุดนี้ไว้ได้อย่างครบครัน โดยเฉพาะตอนที่ตัวละครหนึ่งตัวขาดน่ะครับ ถือว่าช็อคและแรงน่าดู เชื่อว่าคนยุคนั้นบางคนน่าจะติดตาเลยล่ะ
สำหรับผมหนังถือว่าสนุกและมันส์ครับ เพียงแต่ครึ่งแรกของหนังอาจต้องทำใจสักหน่อยในเรื่องความช้า ความเรื่อย ซึ่งถ้าปกติผมเองก็อาจจะเบื่อนะ แต่พอดีได้ดูภาคแรกมาแล้ว มันเลยรู้สึกว่าหนังคงมาทางเดียวกันกับความเรื่อยในครึ่งแรก เลยพอจะรับได้ และจริงๆ หนังก็ไม่ได้น่าเบื่อหรอกครับ อย่างน้อยการแสดงดีๆ ของเหล่าดารา (โดยเฉพาะกุ๊ฟง) ก็ทำให้หนังน่าติดตามไปเรื่อยๆ และอีกอย่างคือหนังไม่ได้ยาวมากครับ แค่ 1 ชั่วโมงกับ 40 นาทีเท่านั้นเอง
สรุปว่าถ้าดู 2 ภาคแรกมาแล้ว การดูภาคนี้ปิดท้ายก็ไม่เลวครับ ถือว่าทำได้ดีมีมาตรฐานเข้าชุดกันได้แบบพอเหมาะ แม้ตัวละครจะคนละชุดกันก็ตาม
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)













