สำหรับคอไซไฟอย่างผม ตอนนี้ก็นับว่าน่าสนใจล่ะครับ กับหัวข้อว่าด้วยการเดินทางข้ามเวลา

ยอมรับครับว่าหนังแนวข้ามเวลานี่มันดึงดูดสำหรับผมนะ คือไม่ว่าหนังจะสนุกมากหรือน้อย แต่แนวคิดการข้ามเวลาและการผจญภัยสไตล์นี้มันเพลินดีครับ ดูไปก็อยากเห็นว่าอดีตหรืออนาคตในจินตนาการของผู้สร้างจะออกมาเป็นยังไง แต่แน่นอนว่าที่เด็ดจริงอะไรจริงต้องไตรภาค Back to the Future ใครยังไม่เคยดูนี่ขอแนะนำเลยครับ สนุกมากๆ ชนิดที่ผมเอามาดูซ้ำไปจะเป้นร้อยรอบแล้วล่ะมั้ง

ส่วนเนื้อหาในตอนนี้ก็จะพาเราไปพบกับ Andrew Basiago ผู้ที่อ้างว่าเคยเดินทางข้ามเวลามาแล้ว โดยเขานั้นได้ร่วมงานในโครงการเพกาซัส (Project Pegasus) ซึ่งดำเนินงานกันในช่วงปลายทศวรรษ 1960 ถึงต้นทศวรรษ 1970 โดย DARPA (หน่วยงานวิจัยและพัฒนาของกระทรวงกลาโหมอเมริกา) กล่าวกันว่าโครงการนี้ศึกษาเรื่องการเดินทางข้ามเวลาโดยเอางานของ Nikola Tesla มาเป็นเครื่องนำทางครับ

Basiago เล่าอะไรหลายอย่างครับ หนึ่งในนั้นคือการบอกว่าเขาเคยย้อนเวลาไปที่เก็ตตี้สเบิร์กในอดีต แล้วก็พอดีที่ตอนนั้นมีคนถ่ายรูป เขาเลยปรากฏอยู่ในรูปด้วย (รูปที่มีคนเยอะๆ น่ะครับ โดยเขาอ้างว่าเขาคือคนที่ใส่หมวกยืนจังก้าอยู่ตรงกลางรูป) ซึ่งอันนี้ก็ต้องใช้วิจารณญาณกันด้วยนะครับ

Basiago พูดว่าทางการได้ทดลองเรื่องนี้มานานแล้ว และสามารถข้ามเวลาได้จริงๆ แต่ก็แน่นอนครับว่า Richard Syrett ก็ต้องพาคนที่เห็นต่างมาสัมภาษณืด้วย ซึ่งพวกเขาก็ให้เหตุผลว่าเรื่องการข้ามเวลาแม้จะมีคนค้นคว้าและมีทฤษฎีมากมาย แต่จนถึงตอนนี้ก็ยากจะทำได้จริง ซึ่งผมฟังแล้วก็นับว่าน่าสนใจทั้งสองด้านครับ แน่นอนว่าเราไม่ได้เจอหลักฐานที่ชัดแจ้ง ส่วนใหญ่เป็นการพูดในเชิงทฤษฎีหรือแนวคิด ซึ่งคนที่ชอบเรื่องพวกนี้ (แบบผม) ก็น่าจะสนุกครับ เพราะฟังแล้วเราก็คิดตาม ส่วนจะจริงหรือไม่ก็ต้องรอคำตอบกันต่อไป

แล้วมีการพูดถึงมัลติเวิร์สด้วยนะครับ เรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับการข้ามเวลาเหมือนกัน เพราะถ้าเราข้ามเวลาไปเปลี่ยนประวัติศาสตร์แล้ว ความเปลี่ยนแปลงนั้นจะเกิดจนเปลี่ยนอนาคตที่เรามีไปด้วยไหม หรือมันจะสร้างอนาคตอีกเส้นหนึ่งขึ้นมาเลย – แค่คิดก็สนุกแล้วครับ

แต่ที่ผมชอบสุดคงเป็นคำกล่าวของ H.G. Wells ผู้เขียน The Time Machine ว่า “เราทุกคนมีไทม์แมชชีนของตัวเอง สิ่งที่พาเรากลับไปคือความทรงจำ และสิ่งที่พาเราไปข้างหน้าคือความฝัน”

ใช้ไทม์แมชชีนของท่านให้ดีก็แล้วกันนะครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)