ถ้าความเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน ผมว่าเรื่องนี้นี่แหละเป็นหนังเปิดโลกเรื่องสำคัญสำหรับผม
เปิดโลกให้รู้จักลุง Woody Allen แล้วก็ตกหลุมรักผลงานของเขานับแต้่นั้น – เปิดโลกให้รู้จักหนังตลกสไตล์ขำคิดที่มีข้อความระหว่างบรรทัดให้นำไปคิดต่อได้สารพัด – เปิดโลกให้รู้จักเรื่องเกี่ยวกับความรักแบบมวลรวมที่มีทั้งหวานทั้งขมทั้งสุขสมและพลาดหวัง และเปิดโลกให้สัมผัสหนังแนว “ช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคน”
ตัวเอกคือ อัลวี่ ซิงเกอร์ (Woody Allen) เดี่ยวตลกที่ผ่านความรักมาแล้วหลายหน แล้วล่าสุดเขาก็ได้พบกับ แอนนี่ ฮอลล์ (Diane Keaton) สาวน้อยน่ารักที่ไม่เหมือนใคร แล้วหนังก็พาเราไปพานพบกับวันชื่นคืนสุข ยาวไปถึงวันที่พวกเขาแยกจากกัน
หนังเรื่องนี้เปิดโลกของผมจริงๆ นะครับ อย่างแรกเลยคือเรื่องความรัก ที่ปกติหนังแนวรักๆ ผสมตลกมันก็มักจะลงเอยด้วยความสมหวัง แต่เรื่องนี้มาครบครับ ตั้งแต่เริ่มจีบกัน คบหากัน และวันที่พวกเขารู้ว่ามันถึงเวลาที่ต่างคนต่างไป – โดยส่วนตัวผมอยากให้วัยรุ่นที่เริ่มเรียนรู้ความรักได้ดูหนังเรื่องนี้นะ มันเหมือนเป็นคู่มือที่เกริ่นนำบอกถึงสิ่งที่เราต้องเจอและอาจจะเจอเมื่อมีรัก นั่นคือความสมหวังแสนสดชื่นกับความผิดหวังแสนเจ็บปวด
คู่ไหนรักกันยืนยาวก็ดีไปครับ ผมยินดีด้วย แต่คู่ที่คบกันแล้วไปต่อไม่ได้มันก็มีครับ และเมื่อถึงยามนั้นรายที่ถูกโบกมือลาก็มักจะเจ็บช้ำจนไปไม่เป็น ผมเลยมองหนังเรื่องนี้เป็นเหมือนวัคซีนที่ดูเพื่อเตรียมใจรับไว้ ถ้ารักมันดีก็ดี แต่ถ้ารักมันจบลง เราก็ทำเหมือนตัวละครในเรื่องที่จากกันบนความเข้าใจ แยกทางไปโดยไม่ต้องถือโทษโกรธกัน – คือโกรธน่ะมันคงโกรธครับ แต่ไม่อยากให้ตัดสินใจทำอะไรในทางร้าย อยากให้เรียนรู้แนวทางที่จะไปต่อ เพราะไม่แน่หรอกครับว่ารักครั้งหน้า เราอาจจะพบว่ามันดีกว่าครั้งนี้ก็ได้ – แต่ประเด็นคือเราต้องมีชีวิตต่อไป ไม่ว่าจะมีคนรักหรือไม่ก็ตาม เราก็ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ก่อน
หนังเล่าเรื่องได้อย่างลื่นไหลครับ ผมว่าจุดเด่นหนึ่งของหนังเรื่องนี้ (รวมถึงอีกหลายๆ เรื่องของลุง Woody) คือการเล่าแบบกระชับ เหมือนเอาซีนสั้นๆ มาเล่าต่อกันแบบเนื้อๆ ความน่าติดตามมันเลยมีตลอด เพราะทุกฉากทุกตอนมันมีประเด็น มันมีความน่าสนใจ ไม่มีฉากไหนที่ใส่มารกๆ หรือเพื่อยืดเวลาให้มันครบๆ – ไม่รู้นะครับ เวลาผมดู The Dark Knight เนี่ย ผมจะนึกถึง Annie Hall ตลอด เพราะรู้สึกว่าการเล่าใน TDK มันกระชับและเนื้อๆ แบบเรื่องนี้แหละ
การถ่ายภาพก็สวยครับ หลายซีนเลยที่น่าจดจำ แม้แต่ฉากในห้องก็ยังดูมีเอกลักษณ์ บ่งบอกคาแรคเตอร์ของเจ้าของห้องได้ อันนี้ก็ยกความดีความชอบให้ Gordon Willis ที่กำกับภาพให้หนังระดับตำนานมาหลายเรื่อง ไม่ว่าจะ The Godfather ทั้ง 3 ภาค, All the President’s Men รวมถึงงานเรื่องต่อๆ มาของลุง Woody อย่าง Manhattan, Stardust Memories, A Midsummer Night’s Sex Comedy, Zelig และ The Purple Rose of Cairo
แล้วดาราก็เหลือเกินครับ 2 ตัวนำอย่างลุง Woody และ Keaton ก็โคตรจะเข้ากัน สมัยนั้นคู่นี้เข้าขากันสุดๆ หนังทั้งเรื่องชวนติดตามได้ก็เพราะการแสดงเด็ดๆ ของพวกเขานี่แหละครับ
สำหรับผมหนังสุดยอดมากครับ ทุกอย่างยอดเยี่ยม ดาราก็ดี ภาพก็ดี บทก็ดี การเล่าเรื่องก็ดี ความตลกโปกฮาก็ไม่น้อย และแง่คิดสาระก็เต็มไปหมดทั้งเรื่องชีวิต เรื่องความรัก เรื่องสังคม โดยเฉพาะเรื่องความรักนี่ถ้าท่านดูไปแล้วคิดไป ผมว่ามันจะบอกอะไรท่านได้เยอะ – คือมันอาจจะไม่ได้บอกเทคนิคให้ท่านสมหวังในความรักในทุกๆ สนามน่ะนะครับ แต่มันสอนให้ท่านเข้าใจ – สอนให้ท่านสังเกต – สอนให้ท่านเรียนรู้ และสอนให้ท่านเตรียมใจรับกับวันหม่นๆ หมองๆ
และใช่ครับ หนังทำให้ผมได้รู้จักกับสไตล์หนังแบบ “บอกเล่าช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคน” ซึ่งดูแล้วผมอินนะ ดูแล้วมันรู้สึกเหมือนตัวละครที่เราดูยังคงมีชีวิตและโลดแล่นอยู่ที่ไหนสักแห่งในโลก และด้วยพล็อตเรื่องมันตราตรึงสำหรับผมครับ คนสองคนที่มีโอกาสได้รู้จักกัน ได้คบหากัน ได้รักกัน ได้แบ่งปันชีวิตกันในช่วงเวลาหนึ่ง แล้วถึงจุดหนึ่งพวกเขาก็จากกัน แยกกันไปใช้ชีวิตตามทางของตน – พวกเขาอาจมีโอกาสได้เจอกันอีกในสักวัน หรืออาจไม่มีวันได้พบกันอีกนับจากนี้
ปัจจุบันจะเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ปล่อยให้อดีตไกลห่างออกไป ห่างออกไป- อดีตที่ครั้งหนึ่ง พวกเขาเคยรักกัน…
สำหรับตำนานการสร้างหนังเรื่องนี้ เราต้องมาเริ่มกันตรงนี้ครับ บทหนังเรื่องนี้ก่อร่างสร้างตัวหลังจากลุง Woody เสร็จจากการทำ Love and Death คือก่อนหน้าจะทำเรื่องนั้นลุงเขาเคยตั้งใจจะเขียนบทหนังว่าด้วยชาวนิวยอร์ค 2 คนไขคดีฆาตกรรม แต่พอไอเดียตันลุงเขาเลยไปพักทำเรื่อง Love and Death ก่อน พอเสร็จก็ค่อยกลับมาที่พล็อตนี้ใหม่ ซึ่งเขาก็เริ่มร่างบทนั้นอีกหน โดยพล็อตหลักคือการไขคดีฆาตกรรม ส่วนพล็อตรองจะว่าด้วยเรื่องโรแมนติก
แต่ทีนี้พอเขียนไปๆ ลุงเขาดันสนใจพล็อตด้านโรแมนติกมากกว่า เลยตัดสินใจพักพล็อตฆาตกรรมไว้ก่อน แล้วหันมาปั่นบทเป็นหนังโรแมนติกเบาสมองแบบเต็มตัว (ส่วนพล็อตฆาตกรรมนั้นก็ต้องรออีกหลายสิบปีครับ กว่าจะสำเร็จออกมาเป็น Manhattan Murder Mystery)
ว่ากันว่าพล็อตตั้งต้นนั้น ลุง Woody ตั้งชื่อมันว่า Anhedonia เพราะเขาตั้งใจจะเล่าถึงตัวเอกที่เป็นคนไม่ค่อยพอใจอะไรง่ายๆ (อีกนัยหนึ่งคือ เป็นคนเยอะน่ะครับ) แต่ทีนี้พอถ่ายทำไปลุงเขาก็มองว่าเรื่องความรักระหว่างอัลวี่กับแอนนี่มันดูเด่นกว่านะ เขาเลยเปลี่ยนจุดโฟกัสจากประเด็น “คนที่ไม่พอใจอะไรง่ายๆ” มาเป็นเรื่องความรักแทน – และมีอยู่จุดหนึ่งลุงเขาคิดจะทำหนังออกมาเป็นแนวย้อนยุค เล่าไปถึงสมัยวิคตอเรียน และเหตุเกิดที่ลอนดอน แต่สุดท้ายบทก็กลับมาที่นิวยอร์คยุคปัจจุบันเหมือนเดิม
และประเด็นที่คนสนใจกันมากที่สุดก็คือ คนส่วนใหญ่มองว่าหนังเรื่องนี้คืออัตชีวประวัติของลุง Woody เอง ไม่ว่าจะตัวเอกอย่างอัลวี่ที่เป็นเดี่ยวตลก (ลุง Woody ก็เป็น) และอัลวี่จริงๆ แล้วคือชื่อเล่นวัยเด็กของลุงเขานั่นแหละ – นอกจากนี้ลุง Woody ก็เรียนที่มหาวิทยาลัยนิวยอร์คเหมือนอัลวี่ด้วย
มาทางฟาก Keaton บ้างครับ ก็พอดีว่า Keaton น่ะนามสกุลจริงๆ ของเธอก็คือ Hall และ Annie คือชื่อเล่นของเธอ อีกทั้งกาลครั้งหนึ่ง Keaton ยังเคยคบหากับลุง Woody จริงๆ ด้วย แต่ในเวลาต่อมาลุง Woody ก็พยายามบอกว่า มันไม่ถึงกับเป็นอัตชีวประวัติของเขาหรอก และมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลายอย่างในชีวิตของเขาจะถูกใส่ลงไปในบทหนัง เพราะคนเขียนบทหนังส่วนใหญ่ก็อ้างอิงอะไรต่อมิอะไรจากชีวิตจริงของพวกเขาอยู่แล้ว แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธออกมาแบบเต็มปากเต็มคำ
และ Keaton เองก็ยังเคยออกมายอมรับว่าเรื่องความรักระหว่างอัลวี่และแอนนี่นั้น บางส่วนก็มาจากเรื่องของพวกเขาตอนที่คบกันนั่นแหละ และเสื้อผ้าที่แอนนี่สวมใส่ในเรื่องนั้น ส่วนหนึ่งก็เอามาจากเสื้อผ้าของ Keaton เอง ไม่ได้มาจากฝ่ายคอสตูม – ดังนั้นประเด็นนี้ท่านจะคิดอย่างไร ก็ขึ้นกับวิจารณญาณน่ะนะครับ
แต่ที่แน่ๆ คือระหว่างการถ่ายทำนั้น ลุง Woody กับ Keaton มีปัญหาในเรื่องการทำงานด้วยกันมากๆ คือไม่ใช่มีเรื่องเข้ากันไม่ได้นะครับ แต่ปัญหาน่ะคือ มองหน้ากันทีไรมันพานจะหลุดขำด้วยกันทั้งคู่ทุกที อย่างฉากจับกุ้งล็อบสเตอร์นั่นทั้งคู่ก็ขำใส่กันจนไม่เป็นอันถ่ายทำ หรือฉากอื่นๆ ก็พอกันครับ คือถ้าไม่ฝ่ายชายก็ฝ่ายหญิงนี่แหละ จะต้องหลุดขำกันทุกรอบ ดังนั้นจุดที่ยากที่สุดในการถ่ายทำ ก็คืออันนี้นี่แหละ 5555
หนังตอนตัดต่อออกมารอบแรกนั้นยาว 2 ชั่วโมงกับ 20 นาทีครับ ซึ่งสุดท้ายแล้วหลายๆ ฉากก็โดนตัดออกไป จนเหลือแค่ชั่วโมงครึ่งอย่างที่เราได้ชม – สำหรับฉากที่ตัดออกไปก็มีฉากที่หนังแสดงให้เห็นว่าเพื่อนร่วมห้องเรียนของอัลวี่นั้น โตขึ้นมาเป็นอะไรบ้าง, ฉากตอนอัลวี่เป็นวัยรุ่น, ฉากในร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด (ที่มี Danny Aiello ร่วมแสดงด้วย), ฉากของบรรดาสาวๆ คนอื่นในชีวิตของอัลวี่ ที่แสดงโดย Carol Kane, Janet Margolin, Colleen Dewhurst และ Shelley Duvall ทั้งหมดนี้ถูกตัดออกไปจนเหลือแค่เท่าที่เห็นในหนัง แต่ก็มีอยู่ฉากหนึ่งที่เกือบจะโดนตัดออก แต่ลุง Woody ตัดสินใจใส่กลับเข้ามาในนาทีสุดท้าย คือฉากที่น้องของแอนนี่ (แสดงโดย Christopher Walken) ขับรถจนอัลวี่เกร็งไปทั้งตัวนั่นน่ะครับ
หนังเรื่องนี้ยังถือเป็นการปรากฏตัวบนจอหนังครั้งแรกของ Sigourney Weaver ด้วยครับ เธอแสดงเป็นคนที่อัลวี่เดตด้วยในตอนท้ายของหนัง (ที่เราจะเห็นลิบๆ ตอนที่อัลวี่ได้เจอกับแอนนี่อีกครั้งน่ะครับ)
และว่ากันว่าหนังเรื่องนี้ติดอันดับ 1 ใน 100 หนังโปรดของ Akira Kurosawa ครับ
หนังลงทุน $4 ล้าน ได้คืนมา $38.2 ล้าน จัดเป็นอีกหนึ่งหนังฮิตของลุงเขา แล้วหนังยังได้ออสการ์มาอีก 4 ตัว ได้แก่สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ดารานำหญิงยอดเยี่ยม (Keaton), ผู้กำกับยอดเยี่ยม (Allen) และบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม – พลาดไปแค่รางวัลเดียวคือสาขาดารานำชายยอดเยี่ยมที่ปีนั้นตกเป็นของ Richard Dreyfuss จาก The Goodbye Girl
เป็นอีกหนึ่งหนังของลุง Woody Allen ที่ผมโปรดปราน ดูกี่รอบก็ชอบ มันรู้สึกมีความสุขผสมกับอารมณ์ขมๆ ตามครรลองของชีวิต ดูแล้วมันเหมือนเตือนใจน่ะครับว่าไม่มีอะไรที่จะสมหวังไปเสียทุกอย่างหรอก และอีกอย่างก็คือ ทุกคนที่เข้ามาในชีวิตเรา พอถึงจุดหนึ่งก็จะต้องจากกัน ไม่จากเป็นก็จากตาย ไม่เราจากเขาก็เขาจากเรา ดังนั้นแล้ว จงใช้เวลาเหล่านั้นอย่างมีคุณค่าครับ
สามดาวครึ่งครับ
(8.5/10)














