เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ดำเนินมาถึงปีที่ 5 ฝ่ายเยอรมันนาซีของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็กำลังได้เปรียบ แต่ทุกอย่างมีอันต้องพลิกผันเมื่อทหารฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ชายหาดนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส และพอถึงเดือนสิงหาคมปี 1944 ปารีสก็รอดพ้นจากการยึดครองของฝ่ายเยอรมัน ต่อมาฝ่ายเยอรมันก็ต้องถอยร่น ในตอนนั้นดูเหมือนฝ่ายสัมพันธมิตรจะเริ่มได้เปรียบ
แต่ปัญหาก็เกิดเมื่อยุทธปัจจัยต่างๆ เริ่มขาดแคลน เนื่องจากการขนส่งที่ยากลำบาก – เพราะทุกอย่างจะถูกส่งขึ้นบกไปรวมกันที่นอร์มังดี แล้วถึงค่อยทำการขนส่งต่อไปตามจุดต่างๆ ซึ่งระยะทางค่อนข้างไกล
แล้วปัญหาต่อมาคือการแข่งขันกันระหว่าง 2 นายพลใหญ่ ซึ่งก็คือนายพลจอร์จ เอส. แพตตันแห่งอเมริกา และนายพลเบอร์นาร์ด ลอว์ มอนต์โกเมอรีแห่งอังกฤษที่แข่งกันบุกยึดเบอร์ลินและหมายจะเผด็จศึกให้ได้ก่อนอีกฝ่าย ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ต้องการยุทธปัจจัย เลยเกิดการแย่งชิงแข่งกันกันอยู่เนื่องๆ
ทีนี้ในเดือนกันยายนปี 1944 นายพลมอนต์โกเมอรีก็ได้คิดแผนการรบครั้งใหญ่ที่ชื่อว่า ปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดน (Operation Market Garden) ที่หมายจะยุติการรบให้ทันก่อนวันคริสต์มาสโดยการให้ทหาร 35,000 นาย โดดร่มลงที่หลังแนวข้าศึก แล้วก็ยึดสะพาน ยึดโรงงาน และยึดตำแหน่งสำคัญต่างๆ เพื่อชิงความได้เปรียบ
และ A Bridge Too Far ก็คือหนังที่นำเอาเรื่องจริงของปฏิบัติการมาร์เก็ตการ์เดนมาบอกเล่าครับ ซึ่งสิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อจากนี้อาจถือว่าสปอยล์นะครับ ดังนั้นใครไม่อยากทราบก็หยุดอ่านแล้วไปหาหนังดูได้เลยครับ ถ้าสนใจน่ะนะครับ
มาบัดนี้ก็เป็นที่รู้กันแล้วน่ะนะครับ ว่าบทลงเอยของปฏิบัติการนี้คือความล้มเหลวครั้งใหญ่ ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรเสียทหารไปนับหมื่น แล้วก็ไม่สามารถยึดจุดต่างๆ ได้ตามที่ตั้งใจ เรียกว่ากลายเป็นบทเรียนครั้งสำคัญของการทำสงครามก็ว่าได้
สำหรับผมหนังแสดงให้เห็นถึง 4 ประเด็นใหญ่ๆ อย่างแรกเลยคือได้เห็นภาพของการเมืองครับ อันนี้ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม มันล้วนมีเรื่องการเมืองภายในด้วยกันทั้งนั้น อย่างบางบริษัทก็อาจมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เล่นเส้นเล่นสาย หรือถ้าเป็นคนของตัวเองก็จะสนับสนุนสุดซอย แต่ถ้าเป็นคนของอีกฝ่ายก็จะคอยค้านแบบสุดลิ่ม ซึ่งถ้าสนับสนุนกันหรือค้านกันโดยมีเหตุผลหลักการที่หนักแน่นก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าทำไปเพียงเพราะเข้าข้างหรือเอียงข้าง โดยไม่พิจารณาให้รอบด้านถ้วนถี่ แบบนี้โอกาสที่จะเกิดความเสึยหายก็มีมากขึ้นตามลำดับ
อย่างในเรื่องนี่หนังก็นำเสนอให้เราได้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของปฏิบัติการ ที่บางคนก็มั่นใจแบบสุดๆ บางคนก็อวยแบบล้นเบอร์ ในขณะที่บางคนก็แสดงความเห็นว่าปฏิบัติการนี้ไม่น่าจะเวิร์ค อย่างนายพลโซซาบาวสกี้ (Hackman) ที่มั่นใจมากขึ้นทุกขณะว่าปฏิบัติการนี้คือการพาคนไปตาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมฟังเหตุผลของเขาเลย
หรือนายทหารบางคนก็พยายามจะนำเสนอภาพถ่ายของรถถังที่ซ่อนอยู่ตามแนวป่า เพื่อจะบอกกับนายให้อย่าประมาท เพราะข้าศึกตอนนี้แทรกซึมไปทั่ว ดังนั้นการโดดร่มเข้าแนวข้าศึกแบบนี้อาจไม่ใช่ทางที่เหมาะควร หรือาจต้องมีการปรับแผนกันใหม่เพื่อความปลอดภัย แต่กลายเป็นว่านายทหารคนนั้นถูกสั่งให้ปิดปากให้สนิท และย้ายไปทำอย่างอื่นแทน
เหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนจะเดจาวูนะครับ คือมีมาเป็นพันปี ร้อยปี มาจนถึงตอนนี้เรื่องแบบนี้ก็ยังมีอยู่เนืองๆ แล้วที่น่าหนักใจก็คือ ผลเสียที่เกิดขึ้นจากการเมืองในลักษณะนี้ หลักๆ มันมักจะตกมาที่คนชั้นผู้น้อย และเหล่าประชาชนคนเดินถนน ในขณะที่พวกที่อยู่บนหอคอยงาช้างมักจะปลอดภัย หรือต่อให้ล่มร่วงแค่ไหนก็มีฝูกใหญ่เบ่อเริ่มรองรอรับเอาไว้
ประเด็นที่ 2 คือการได้เห็นภาพความโหดร้ายของสงคราม ซึ่งในหนังก็จัดเต็มครับ ช่วงแรกก็เล่าถึงการวางแผนกันไป พอถึงตอนกลางๆ เรื่อยมาเราก็จะได้เห็นภาพการเข่มฆ่ารบพุ่งกันระหว่างทหารสองฝ่าย เห็นระเบิด เห็นกระสุน เห็นการทำลายล้างมากมาย ซึ่งถ้าใครอยากดูหนังสงครามที่มีฉากรบหนักๆ ดูจริงจัง เรื่องนี้ก็ถือว่าตอบโจทย์นั้นค่อนข้างเต็มที่
ส่วนผมนี้ก็ยังเป็นเหมือนเดิมครับ คือไม่ชอบเห็นภาพสงคราม ไม่ชอบเห็นคนเข่นฆ่ากัน คือเข้าใจแหละว่าสงครามคืออะไร และรู้แหละว่ามันเกิดขึ้นอยู่เนืองๆ ตามจุดต่างๆ ของโลก และรู้แหละว่ามันก็มีเหตุปัจจัยของมัน แต่สารภาพเลยครับว่ายามต้องมารับรู้หรือดูภาพเหล่านี้ มันไม่มีความสุขเลย แม้จะเข้าใจเหตุผลหรืออะไรก็เถอะ แต่มันก็ไม่อยากให้เกิดอยู่ดี
เห็นทหารรบกันว่าหนักใจแล้ว ต้องมาเห็นประชาชนโดนลูกหลง นอนตายกันเกลื่อน เป็นกองพะเนินสูง อันนี้หนักใจยิ่งขึ้น – แต่ก็ยังดีที่หนังสงครามเรื่องนี้ ไม่ได้มอบแต่ความรู้สึกหนักใจให้ผมเพียงอย่างเดียว แต่ยังให้ความหวังด้วย – เพราะอะไรเดี๋ยวมาว่ากัน
ประเด็นที่ 3 คือ หากต้องการหลีกเลี่ยงความล้มเหลว อย่างแรกสุดคือต้องมีสติและใจเย็นๆ ครับ ยิ่งสถานการณ์กดดันหรือล่อแหลมยิ่งต้องมีสติเข้าไว้ ซึ่งก็รู้ครับว่ามันทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะแบบนี้โลกถึงได้มีแนวทางวิธีในการฝึกสติและพัฒนาตนเองให้คนได้ศึกษาเรียนรู้
ต่อมาคือต้องมองให้รอบด้าน ต้องเอาข้อมูลทั้งที่สนับสนุนและทัดทานเอามาวิเคราะห์เปรียบเทียบ ซึ่งผมก็เข้าใจครับว่าบางสิ่งบางอย่างต่อให้วิเคราะห์ดีแค่ไหน แต่พอทำออกมาก็ยังมีโอกาสผิดพลาดได้อยู่ดี แต่อย่างน้อยการวิเคราะห์ให้ดีๆ มันก็ช่วยลดโอกาสที่จะพลาดนั้นลงได้ ดีกว่าใส่เกียร์ห้าเดินหน้าทำไป แล้วพอพลาดก็ค่อยมาคิดว่า “รู้งี้นะ ฟังที่คนนั้นแนะนำมาก็ดี”
และประเด็นสุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด คือหนังได้ทำให้เห็นแสงสว่างอันรำไรระหว่างเพื่อนมนุษย์ ไม่ว่าจะเจ้าของบ้านที่ยอมให้เหล่าทหารที่บาดเจ็บมาเข้าพำนักรักษา หรือเรื่องของวิลเฮล์ม บิตทริช (Maximilian Schell) ผู้บัญชาการฝ่ายเยอรมันที่อนุมัติให้มีการหยุดยิงตามคำร้องขอของนายแพทย์ฝ่ายกองพลอังกฤษ ซึ่งเขาก็คือคนที่ยื่นช็อคโกแลตให้ผู้พันฟรอสต์ (Anthony Hopkins) นั่นแหละครับ
ถ้าถามว่ารู้สึกอย่างไรกับหนัง ก็ต้องบอกว่าหนังทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ ทำให้เราเห็นภาพรวมของเหตุการณ์ครั้งนี้ ต่อด้วยการถ่ายทอดภาพของสงครามออกมาได้อย่างสมจริง (สำหรับสมัยนั้นน่ะนะครับ) การเล่าเรื่องก็ถือว่าน่าติดตามพอสมควร แม้หนังจะยาวเกือบ 3 ชั่วโมงก็ตาม แต่ก็ไม่น่าเบื่อ ซึ่งก็แน่นอนว่าส่วนหนึ่งมาจากการปรากฏตัวของเหล่าดาราแถวหน้าที่มารับบทกันคนละนิดละหน่อย ไม่ว่าจะ Sean Connery, Ryan O’Neal, Michael Caine, Laurence Olivier, Dirk Bogarde, Gene Hackman, Edward Fox, Anthony Hopkins, James Caan, Alun Armstrong, Maximilian Schell, Liv Ullmann, Elliott Gould, Ben Cross, Denholm Elliott และ Robert Redford
ตัวหนังลงทุนไปราว $27 ล้านซึ่งถือว่าสูงที่สุดสำหรับปีนั้น ก่อนจะทำเงินกลับมาได้ราว $50 ล้าน ก็ถือว่าพอคุ้มทุนอยู่ครับ
สำหรับเกร็ดหนัง เรื่องที่ถือว่าใหญ่ที่สุดก็ต้องยกให้ประเด็นนี้ครับ อันนี้ต้องย้อนก่อนว่าในเรื่องนี้ Dirk Bogarde แสดงเป็นนายพลบราวนิ่ง ซึ่งก็คือคนที่เอ่ยประโยคสุดท้ายของหนังที่ว่า “As you know, I’ve always thought we tried to go a bridge too far.” ซึ่งนายพลบราวนิ่งมีตัวตนจริงๆ ในประวัติศาสตร์ แต่ด้วยความที่หนังนำเสนอเกี่ยวกับตัวละครนี้ไปในเชิงที่ว่า เขาเป็นเหตุผลของความล้มเหลวของปฏิบัติการครั้งนี้ นั่นจึงทำให้ Daphne Du Maurier ภรรยาม่ายของนายพลบราวนิ่งและเพื่อนฝูงของเขาอีกจำนวนหนึ่งออกมาแสดงความไม่พอใจ ถึงขั้นบอกว่า ถ้าบราวนิ่งยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ เขาคงเอาเรื่อง ฟ้องทั้งผู้กำกับ Sir Richard Attenborough และผู้ดัดแปลงบทภาพยนตร์ William Goldman อย่างแน่นอน
ส่วนลูกชายของนายพลบราวนิ่งก็ออกมาพูดว่า เขาเชื่อว่าการที่พ่อของเขาเหมือนตกเป็นแพะรับบาปในหนัง ก็คงเพราะทีมผู้สร้างไม่กล้าวิพากษ์ตรงไปที่ตัวนายพลมอนต์โกเมอรีนั่นเอง
แต่กลายเป็นว่าคนที่ตกเป็นเป้าถูกโจมตีในเรื่องนี้หนักที่สุดกลับเป็น Bogarde ซึ่งเขามองว่าตนก็เพียงแสดงไปตามบท ไม่ได้เป็นคนเขียนบทเองแต่อย่างใด และสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแย่ก็คือ เขาตั้งใจมาแสดงในหนังเรื่องนี้ก็เพราะมิตรภาพที่เขามีต่อ Attenborough (ว่ากันว่าอีกเหตุผลคือ เพราะเขาเสียดายที่บอกปัดบทใน The Longest Day ไป) และเขาก็เป็นดาราคนแรกที่ตกลงจะมาแสดง โดยเขาอ้างว่า Attenborough บอกว่าถ้าเขายอมมาแสดงในหนังเรื่องนี้ ก็จะทำให้ดาราบิ๊กเนมคนอื่นๆ ยอมมาแสดงได้ง่ายขึ้น
แต่พอเขามาแสดงบทนี้ แล้วต้องตกเป็นเป้าแบบนี้ เขาเลยเสียความรู้สึกครับ ยิ่งตอนถ่ายทำนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเขากับ Attenborough ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ด้วย ยิ่งมาเจอเรื่องนี้เขาอีกเขาเลยเสียความรู้สึกอย่างรุนแรง และออกมาย้ำบ่อยครั้งว่าการรับแสดงหนังเรื่องนี้ คือเรื่องที่เขาเสียใจที่สุดในชีวิต
กระนั้น Attenborough ก็พยายามแก้ไขสถานการณ์นะครับ เขาพยายามยืดอกรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งก็พอจะลดแรงกระแทกลงได้บ้าง แต่น่าเสียดายที่มิตรภาพระหว่างเขากับ Bogarde ไม่มีทางเหมือนเดิมอีกต่อไป
จะว่าไปก็น่าเห็นใจ Attenborough อยู่เหมือนกันนะครับ เพราะจริงๆ แล้วน่ะ Attenborough ก็ไม่ได้อยากกำกับหนังเรื่องนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นน่ะเขาอยากทำ Gandhi มากกว่า แต่ปัญหาคือไม่มีใครยอมออกทุนให้เลย จนกระทั่งเขาได้ไปเจรจาขอทุนกับ Joseph E. Levine ซึ่งทางนั้นก็สัญญากับ Attenborough ว่าถ้าเขายอมกำกับเรื่องนี้ Levine จะเป็นธุระออกทุนสร้าง Gandhi ให้ แล้ว Attenborough ก็ตกลงครับ โดยเขาแจ้งกับ Levine เลยว่า เขาจะทำหนังเรื่องนี้ออกมาในฐานะหนังต่อต้านสงคราม ไม่ใช่หนังสงครามแบบที่ยุคนั้นขยันทำกัน
และสำหรับดนตรีประกอบนั้น ตอนแรกมีการทาบทาม John Williams ครับ ซึ่งพอดีตอนนั้นเขาก็ได้รับข้อเสนอให้ไปทำดนตรีให้ Star Wars ด้วย ในระหว่างที่เขากำลังชั่งใจอยู่นั้น Steven Spielberg ก็เดินเข้ามา พร้อมทั้งเจรจาจนในที่สุด Williams ก็เลือก Star Wars ครับ – ส่วนเรื่องนี้ก็ได้ John Addison มาทำดนตรีให้ครับ ซึ่งบอกเลยว่า ผมนั้นชอบเพลงธีมของหนังเรื่องนี้มากทีเดียว จังหวะและท่วงทำนองของธีมนี้บ่งบอกถึงความฮึกเหิมและความหวังซึ่งก็เข้ากับธีมของเรื่องที่ตั้งใจจะต่อต้านสงคราม
เรื่องต่อมา อันนี้เกี่ยวกับ Sean Connery ครับ ซึ่งในเรื่องเขารับบทที่ถือว่าเป็นบทนำคนหนึ่ง แต่กลายเป็นว่าเขาได้ค่าตัวน้อยกว่า Robert Redford ที่มารับบทเล็กๆ (Redford ได้ไป $2 ล้านจากการทำงาน 2 สัปดาห์ครับ) พอ Connery รู้เรื่องเข้าก็โกรธมากและทำการสไตรค์ ไม่เข้ากองถ่ายจนกว่าจะได้ค่าตัวตามที่เขาพอใจ ซึ่งในที่สุดทางผู้สร้างก็ต้องยอมตามนั้นครับ
อีกคนหนึ่งที่เกือบจะได้มาแสดงเรื่องนี้ก็คือ Steve McQueen แต่พอเขารู้ว่า Maximilian Schell มาร่วมแสดงด้วย เขาเลยบอกปัดในบัดดล – เหตุผลเพราะตอนนั้น Schell กำลังคบหาอยู่กับ Neile Adams ภรรยาคนแรกของ McQueen ครับ
Robert De Niro ก็เกือบจะได้มาแสดงเป็นจ่าเอ็ดดี้ ดูฮัน แต่เขาก็บอกปัดไป แล้วในเวลาต่อมา James Caan ก็มาลองแคสซึ่ง Attenborough ก็ให้เขาเลือกได้เลยว่าอยากเล่นบทไหน แล้ว Cann ก็เลือกบทจ่าเอ็ดดี้ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาอยากแสดงบทนี้ก็คือฉากที่จ่าเอ็ดดี้เอาปืนขู่หมอให้ช่วยเพื่อนของเขานั่นเอง
และในเรื่องนี่ Anthony Hopkins รับบทผู้พันจอห์น ฟรอสต์ใช่ไหมครับ ซึ่งปรากฏว่าระหว่างถ่ายทำนั้นผู้พันฟรอสต์ตัวจริงได้เดินทางมาเยี่ยมกองถ่าย พร้อมทั้งเล่าให้ Hopkins ฟังว่าในตอนรบกันจริงๆ นั้น ทหารอังกฤษจะไม่วิ่งจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง แต่จะใช้วิธีเดินเพื่อเป็นการหยามฝ่ายตรงข้าม – ประมาณว่ายิงยังไงก็ยิ่งไม่ถูกหรอก – แล้วตอนถ่ายทำจริง Hopkins ก็พยายามทำตามนั้น แต่พอเริ่มถ่ายทำและเสียงปืนดังขึ้นเท่านั้นแหละ สัญชาตญาณมันก็เข้าครอบงำ ทำเอาเขาวิ่งอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ทันที
สองดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Drama, History, Movie Reviews, Recommended Movies, War















