Drama

Sun Moon (2023) หนีหัวใจมาพบรัก

ตรงๆ เลยนะครับ ผมว่าผมต้องใช้ความอดทนพอสมควรกับครึ่งแรกของหนังเรื่องนี้ สารภาพว่าแอบเบื่อแอบอะไรบ้าง แต่พอดูจนจบแล้วผมกลับโอเคนะ คือมันรู้สึกดีที่ได้ดูหนังเรื่องนี้สักรอบน่ะครับ

พล็อตแสนคุ้นเคยครับ เคลซีย์ (Mackenzie Mauzy) กำลังช้ำชอกเนื่องจากคนรัก (Jason Burkey) เทเธอในงานแต่งแล้วหันไปคบกับเพื่อนร่วมห้องเธอแทน จากนั้นเคลซีย์ก็ตัดสินใจไปทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ไต้หวัน กะจะกอบรวมตัวตนที่แหลกสลายขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็แน่นอนว่าตอนแรกๆ อะไรๆ มันก็ไม่เข้าที่นักหรอก แต่พอเธอปรับตัวเข้ากับเหล่านักเรียนได้ และได้เจอกับฮอเรซ (Justin Chien) ครูหนุ่มนิสัยดีแต่พูดน้อย กราฟชีวิตของเธอก็ค่อยๆ กระเถิบไปในโซนที่สดใสขึ้น

ก่อนดูผมไปเช็คคะแนนนิยมของหนังเรื่องนี้มาแล้วก็พบว่ามันแปลกๆ คือมีคนที่ชอบหนังเรื่องนี้สุดและไม่ชอบหนังเรื่องนี้แบบสุดในอัตราที่พอๆ กัน ครั้นพอดูเสร็จแล้วอ่านความคิดเห็นประกอบก็ถึงเข้าใจ คือหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเน้นในเรื่องแนวคิดเชิงศาสนาครับ (บางคนนิยามว่าเป็นหนังคริสเตียน) ซึ่งก็เข้าใจได้ครับเพราะหนังจะมีแนวคิด ความเชื่อ และประเด็นเชิงศาสนาแทรกอยู่พอสมควร จนไม่แปลกใจที่จะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบปนเปกันไป

ส่วนผมนั้นไม่มีปัญหาครับ คือรับรู้ว่ามีแต่ไม่ได้รู้สึกบวกหรือลบอะไร แต่สิ่งสำคัญที่ผมสนใจคือความสนุกของหนังมากกว่า ซึ่งโดยรวมผมถือว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ ครับ คือไม่ได้เด็ดดวง แต่ก็ไม่ได้แย่อะไร ส่วนตัวผมมองว่าหนังค่อนข้างแข็งๆ อยู่ครับ โดยเฉพาะครึ่งแรกนี่หลายอย่างมันรู้สึกฝืนๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันยังไม่ค่อยลื่นไหลนักทั้งการเล่าเรื่องและการแสดง แต่ยังดีที่พล็อตมันได้ มันคือสูตรสำเร็จของคนๆ หนึ่งที่เจอเรื่องผิดหวัง แล้วจากนั้นก็พาตัวเองไปยังที่ใหม่ๆ เพื่อตั้งสติอีกหน คือพล็อตแบบนี้มันมีพลังในตัวน่ะครับ เลยทำให้แม้การเล่าเรื่องมันอาจจะยังไม่ลื่น แต่ด้วยความ “แน่” ของพล็อตมันเลยพยุงหนังไว้ได้อยู่

ส่วนครึ่งหลังผมรู้สึกโอเคขึ้น ผมก็มานั่งคิดนะว่าเพราะการเล่าเรื่องมันดีขึ้นเหรอ หรือดาราแสดงดีขึ้น แต่ผมว่าความดีความชอบก็อยู่ที่บทอีกนั่นแหละครับ คือเนื้อเรื่องมันดีไงครับ มันเป็นสูตรที่เวิร์คอยู่แล้ว และพอเราดูหนังไปสักพัก เราเริ่มคุ้นเคยกับตัวละครและเรื่องราว มันก็เลยรู้สึกรับได้มากขึ้น โอเคกับหนังมากขึ้น

และจริงๆ หนังมีของดีมากๆ อยู่ครับ นั่นคือวิวทิวทัศน์และบรรยากาศสวยๆ ของไต้หวัน อันนี้ยอมรับเลยว่าเด่นมาก ดูแล้วอยากไปไต้หวันเลยครับ และที่หนักกว่านั้นคืออยากกินชาไข่มุกมาก 5555 นี่แหละครับซอฟต์พาวเวอร์ของจริง หนังนำเสนอบ่อยพูดถึงบ่อยจนอยากกินเลยเนี่ย

ขอกลับมาที่เรื่องวิวอีกที คือภาพสวยมากครับ และวิวที่ไต้หวันดีอยู่แล้วด้วย ก็ขอชมผู้กำกับภาพ Laticia Fan และ Matt Huesmann ที่ช่วยกันขนภาพดีๆ ใส่หนังครับ สำหรับคนอื่นไม่รู้นะ แต่สำหรับผมนี่มันทำให้ผมรู้สึกเพลินกับหนังมากขึ้น ทำให้ครึ่งหลังของหนังมันดูดีมากขึ้นจริงๆ

แง่คิดอันหนึ่งที่ชอบคือ บางทีคนเราก็เอาพระเจ้ามาเป็นข้ออ้างให้กับการกระทำของตนเองครับ อย่างแฟนเก่านางเอกที่ตอนแรกก็อ้างว่าพระเจ้ามาชี้ทาง เลยเลิกกับนางเอก แต่จริงๆ เปล่าครับ พี่แกโลเลเองนั่นแหละ อยากจะไปคบกับคนอื่นเลยอ้างไปเรื่อย – ดังนั้นถ้าท่านจะทำอะไร ไม่ต้องอ้างไปไกลครับ อ้างตัวเองนี่แหละ หรืออีกนัยหนึ่งคือรับผิดชอบกับการกระทำของตัวเองซะ ไม่ต้องผลักภาระไปให้คนอื่น

และอีกอย่างคือหนังเลือกเพลงจบได้ดีครับ หนังใช้เพลง Cover Me ของ Eve’s Curse ใน End Credits ซึ่งถือว่าเข้ากับอารมณ์ของหนังแบบกำลังเหมาะ

เมื่อสรุปโดยรวม ผมเลยรู้สึกโอเคกับหนังครับ ครึ่งแรกก็เหมือนปลาผิดน้ำนิดหน่อย (ซึ่งพล็อตในเรื่องก็ว่าด้วยนางเอกเป็นปลาผิดน้ำในดินแดนใหม่อยู่เหมือนกัน) แต่พอดูไป พอคุ้นเคยกับตัวละคร พอเก็บรายละเอียดโน่นนี่ไปสักพัก มันก็โอเคขึ้น แต่ใจก็คิดน่ะครับว่าถ้าหนังได้นักแสดงที่ลื่นๆ ได้ผู้กำกับที่ไหลๆ นี่หนังน่าจะเวิร์คเอาเรื่องเลยนะ

ที่บอกนี่ไม่ได้แปลว่านักแสดงไม่ดีนะครับ คือผมมองว่าพวกเขาก็แสดงได้โอเคนั่นแหละ แต่เหมือนมันยังไม่สุด ส่วนนี้ผมมองไปที่ผู้กำกับครับ ซึ่ง Sydney Tooley ก็เพิ่งทำหนังยาวเรื่องนี้เป็นเรื่องแรก อะไรๆ ก็เลยอาจยังไม่เข้ามือ ยังเค้นนักแสดงได้ไม่เต็มที่ หรือยังเล่าเรื่องได้ไม่คล่องคอเต็มร้อย – คือมันรู้สึกเหมือนว่าจริงๆ องค์ประกอบพื้นฐานของหนังถือว่าดีน่ะครับ แต่มันเหมือนยังยั้งๆ ยังดีได้อีกอะไรประมาณนี้ – แต่ผมชอบเหล่าเด็กนักเรียนนะครับ ดูเป็นธรรมชาติดี และเพิ่มรสชาติให้หนังได้พอสมควร

เอาเป็นว่าผมอยากให้ลองดูครับ ถ้าท่านชอบหนังรอมคอมผสมดราม่าว่าด้วยการฟื้นฟูจิตใจตนเองน่ะนะครับ อาจต้องทนหน่อยในช่วงครึ่งแรก แต่ผมว่าถ้าท่านผ่านครึ่งแรกไปได้ก็น่าจะรู้สึกโอเคขึ้นในครึ่งหลัง แต่ถ้าดูไปสักพักแล้วมันจูนไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยเปลี่ยนเรื่องดู

สองดาวแบบดีได้อีกครับ

(6/10)