Horror

Wolf Man (2025) มนุษย์หมาป่า

ก่อนดูนี่ไม่คาดหวังครับ ครั้นพอดูไปสักพัก ก็ยิ่งพยายามปรับลดความคาดหวังลงไปอีกเป็นพักๆ จนในที่สุดก็บอกกับตัวเองว่า “คิดเสียว่าดูหนังสยองเกรดบีสักเรื่องก็แล้วกัน” แล้วมันก็ทำให้ผมโอเคกับหนังมากขึ้นพอตัว

ไม่ได้บอกว่าหนังไม่ดีนะครับ ความชอบของแต่ละคนย่อมต่างกัน คนที่ชอบหนังเรื่องนีกก็คงมีซึ่งผมก็ยินดีด้วยครับ ส่วนผมนั้นก็รู้สึกแบบกลางๆ คือดูได้เรื่อยๆ พอดูไปๆ แล้วมันเริ่มเบื่อ ผมก็จะลดความคาดหวังลงไปอีก หรือไม่ก็บอกตัวเองแบบที่เกริ่นไป ซึ่งผมว่ามันโอเคนะ มันทำให้ผมพร้อมจะตามหนังต่อไป และพอดูจนจบ ผมก็รู้สึกกลางๆ ค่อนไปทางบวกกับหนัง

จริงๆ หนังไม่มีอะไรครับ มันคือหนังมนุษย์หมาป่าแบบที่ไม่ได้มีอะไรหวือหวาหรือซับซ้อน มันคือเรื่องของครอบครัวพ่อแม่ลูกที่ไปเกิดอุบัติเหตุกลางป่า และป่านั่นก็มีสิ่งมีชีวิตลึกลับอาศัยอยู่ แล้วมันก็สร้างบาดแผลให้คนพ่อ แล้วจากนั้นคนพ่อก็ค่อยๆ เปลี่ยนร่าง ตามนั้นเลยครับ ไม่มีหักมุม ไม่มีซับซ้อน แล้วคนแม่กับลูกก็ต้องหาทางเอาตัวรอดกันไป ประมาณนี้เลย

ที่ผมใช้คำว่า “หนังเกรดบี” ก็เพราะส่วนใหญ่หนังเกรดบีจะไม่เล่นท่ายากมากนัก จะเล่าแบบตรงๆ ซื่อๆ อาจมีลีลาบ้างแต่ก็จะไม่หวือหวา ซึ่งเรื่องนี้ก็มาในอารมณ์นั้นครับ เล่าแบบเรื่อยๆ สิ่งที่พอจะเรียกว่าลูกเล่นได้นี่ก็คงมีแค่ “มุมมองจากสายตาหมาป่า” ซึ่งตอนแรกเหมือนๆ จะน่าสนใจ แต่พอเวลาผ่านไปมันก็ไม่มีอะไรเด่นนักสำหรับประเด็นนี้

หนังกำกับโดย Leigh Whannell ครับ ซึ่งบอกได้เลยว่า Upgrade และ The Invisible Man น่ะสนุกกว่าเยอะ เรื่องนี้มันค่อนข้างธรรมดา ไม่ได้มีแง่มุมใหม่เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าสักเท่าไหร่ และจริงๆ สิ่งที่หนังพยายามเน้นก็คือสายสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูก ที่คนพ่อกับลูกนั้นดูจะสนิทกันมากกว่า ในขณะที่คนแม่นั้นดูจะเป็นคนแปลกหน้าสำหรับลูกสาว จริงๆ ถ้าหนังเน้นประเด็นนี้แบบเข้มๆ ไปเลย หรือเน้นเชิงดราม่าไปเลย ผมว่ามันคงจะน่าสนใจน่ะครับ และมันอาจจะกลายเป็นสร้างความสดใหม่ให้กับหนังเรื่องนี้ก็ได้

ระหว่างดูก็แอบมีเงกเหมือนกันครับ ผงกหัวทำท่าจะหลับอยู่หลายตอนเหมือนกัน ดังนั้นในแง่ความสยองแล้ว สำหรับผมก็ถือว่าไม่มากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็อาจจะมีบ้างช่วงที่พวกตัวเอกพุ่งไปที่รถเพื่อจะขับหนี แต่นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไร เป็นการสร้างความระทึกด้วยท่ามาตรฐานแบบเดิมๆ ที่หากใครดูหนังแนวนี้มาเยอะก็อาจจะนิ่ง (แบบผม)

และจำได้ว่า Whannell เคยบอกๆ ไว้ครับว่าเขาได้แรงบันดาลใจในการทำเรื่องนี้ส่วนหนึ่งมาจาก The Fly ฉบับรีเมคโดย David Cronenberg ซึ่งก็พอเข้าใจได้ครับ แต่ให้พูดตรงๆ ก็คือ The Fly ทำถึงกว่าเยอะ โดยเฉพาะบทสรุปที่ถือว่ามาทางเดียวกันเลย แต่ The Fly สะเทือนไปถึงไตมากกว่า

แต่อย่างน้อยผมก็ชอบดนตรีตอน End Credits ครับ มันสื่อถึงอารมณ์เรื่องราว “ครอบครัวหนึ่งต้องเผชิญกับความสยองที่ทำให้ชีวิตพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกตลอดกาล” ได้ค่อนข้างดี อันนี้ขอชม Benjamin Wallfisch เลยครับ – จริงๆ ถ้าหนังทำประเด็นนี้ให้ถึง มันคงจะดีไม่น้อยทีเดียว

สรุปว่าจริงๆ หนังดูเหมือนจะมีอะไรๆ ที่อยากเล่าและอยากเล่นอยู่ไม่น้อยครับ แต่ผลที่ออกมากลับค่อนข้างธรรมดา

สองดาวครับ

(6/10)