Horror

Final Destination Bloodlines (2025) ไฟนอล เดสติเนชั่น ทายาทโกงตาย

หนังแนวนี้ดูทีก็จิตตกทีครับ ใจมันระแวงไปหมด พอดูเสร็จนี่ ไม่ไปล่ะครับที่สูงๆ-ไม่เอาล่ะครับงานเลี้ยงในสวน-ไม่เฉียดล่ะครับโรงพยาบาล-แม้แต่ข้างถนนก็น่ากลัวนะนั่น-สรุปคือไม่ต้องไปไหนแล้วใช่ไหมเนี่ย 5555

ถือเป็นการสานต่อตำนาน FD ที่เข้าท่าครับ เหมือนเป็นการยำเอาจุดเด่นของ 5 ภาคที่แล้วมาใส่รวมกันไว้ทั้งความสยอง ความโหด ความแหวะ ความลุ้น ความตื่นเต้น แล้วก็บวกด้วยอารมณ์ขันกับการยั่วล้อแบบแซวตัวเอง เรียกว่าถ้าท่านเป็นแฟนหนังชุดนี้ก็น่าจะเพลินกับภาคนี้เอามากๆ ครับ เพราะมันดูสนุก ลื่นไหล มีปมมีอะไรให้ติดตาม แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้สดใหม่อะไรมากมายก็เถอะ

ผมชอบพล็อตของภาคนี้ที่มีการวาดอาณาเขตไปครอบคลุมเหตุการณ์ของภาคก่อนๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้ภาคนี้ดูคู่ควรกับการเป็นภาคต่อแล้ว หนังยังสามารถคืนชีพสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้ขึ้นมาได้ คือระหว่างดูไปมันอยากรู้น่ะครับว่าเรื่องจะไปยังไงต่อ ไม่เหมือนภาคก่อนๆ ที่ระหว่างดูนี่บางทีหนังก็จะมีช่วงที่ความน่าสนใจลดลง จนใจเราแอบไปเดานั่นเดานี่ แต่กับภาคนี้ด้วยพลังการเดินเรื่องที่สามารถดึงให้เราหันมาโฟกัสกับเหตุการณ์ตรงหน้า ใจเราเลยไม่ค่อยจะลอยไปเดานั่นเดานี่สักเท่าไหร่ หรือในบางฉากที่เราเกิดอยากจะเดาขึ้นมา มันก็เหมือนหนังตั้งใจยั่วให้เราเดาน่ะครับ ก่อนจะสับขาหลอกหรือไม่ก็นำเสนอภาพออกมาตรงตามที่เราเดาได้ เหมือนร่วมสนุกไปกับเราอะไรแบบนั้น

อันนี้ก็ต้องชมไปทุกภาคส่วนที่วยกันสร้างภาคนี้ครับ ตั้งแต่ Jon Watt ที่มาคุมงานสร้าง Zach Lipovsky กับ Adam B. Stein ที่มานั่งเก้าอี้กำกับ ตามด้วย Guy Busick กับ Lori Evans Taylor ที่มาช่วยเขียนบท (ร่วมกับ Watt) แล้วก็เหล่าดาราทั้งหลายที่ถือว่าเล่นกันได้ดีครับ บทอาจจะมากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป แต่ทุกคนมีส่วนช่วยให้หนังชวนดู

ผมชอบที่หนังไม่ทำให้บางตัวละครดูน่ารำคาญจนเกินไป อย่างอีริก (Richard Harmon) ที่จริงๆ ดูคล้ายจะน่ารำคาญมากกว่าเขาเพื่อน แต่หนังก็สามารถเล่าเรื่องเล่าองค์ประกอบต่างๆ จนทำให้ตัวละครนี้ดูกวน ดูยวน แต่ก็ไม่เกินพอดี เช่นเดียวกับตัวละครอื่นๆ ที่อาจมีมุมไม่น่ารักบ้าง แต่หนังก็สโคปขอบเขตของแต่ละคนให้อยู่ในระดับพอเหมาะ ดูแล้วจำได้ว่าใครเป็นใคร และบางคนก็ทำให้เราอดสะเทือนใจไม่ได้เหมือนกัน

งานสร้างก็ถือว่าดีเลยครับ ส่วนฉากการตายก็มีทั้งแบบอลังและแบบปุ๊บปั๊บฉับไวคาดไม่ถึง ซึ่งก็ออกแบบได้ดี อย่างฉากต้นเรื่องตรงอาคารระฟ้านั่นกก็ดึงคนดูให้สนใจหนังได้ตั้งแต่เริ่มครับ มันดูมีสเต็ปไล่ระดับความลุ้นให้เพิ่มขึ้นทีละน้อย ก่อนจะพีคขึ้นเรื่อยๆ แล้วพอผ่านจุดนั้นมาผมก็นึกว่าหนังจะเข้าโหมดพักแบบที่หลายๆ เรื่องเป็น แต่กลายเป็นว่าหนังพักแป๊บเดียวครับ ทีเหลือก็เล่าแบบเนื้อ ดึงความสนใจจากคนดูได้ต่อ ทีนี้ก็ยิงยาวล่ะครับ ยาวไปจนถึงจบเลย

สนุกครับ บอกได้เลยว่าสนุก ผมนี่ชอบเท่ากับภาคแรกเลยนะ และมันก็ทำให้ผมอยากเอา 5 ภาคก่อนหน้ามาดูต่อกันอีกสักหน เรียกว่าปลุกความเป็นติ่ง FD ในตัวผมได้อย่างสวยงาม

และหนังยังมีจุดที่ผมแอบประทับใจด้วยครับ อันนี้สปอยล์หน่อย แต่มันชอบจริงๆ

========== สปอยล์ครับ ============

ผมชอบซีนที่คุณย่าไอริส (Gabrielle Rose) ก้าวเท้าออกจากบ้านเพื่อมามอบตำราบันทึกให้กับสเตฟานี่ (Kaitlyn Santa Juana) น่ะครับ คือมันเป็นซีนที่สื่อเลยนะว่าเธอห่วงคนในครอบครัวจริงๆ ห่วงถึงขั้นว่าต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ส่งต่อเรื่องนี้ให้ลูกหลาน

แว่บแรกผมก็คิดนะ ว่าจริงๆ ถ้าคุณย่ายังอยู่ในบ้านแล้วรักษาชีวิตต่อไป ภัยก็ไม่ถึงลูกหลานแล้ว ขอเพียงคุณย่าไม่ตายก็พอ แต่พอคิดอีกทีก็เกือบลืมว่าคุณย่าบอกแล้วว่าเป็นมะเร็ง ดังนั้นจะตายเมื่อไรก็ไม่รู้ และถ้าท่านตายไปโดยที่ไม่ได้ส่งต่อเรื่องนี้ให้ลูกหลานเลย ท่านก็คงต้องเสียใจ ครั้นจะปล่อยให้สเตฟานี่จากไปก็ไม่รู้ว่าชาตินี้เธอจะได้เจอใครในครอบครัวอีกไหม ก็เลยเอาล่ะวะ ตายเป็นตาย

แต่พอมองในอีกแง่ ก็ถือว่างานนี้ “ความตาย” ฉลาดเอาเรื่องครับ แค่ทำให้สเตฟานี่ฝันก็เป็นการเริ่มวงจรมรณะนี้ขึ้นมาจนได้ แล้วก็อย่างที่เห็นในตอนจบนั่นแหละ ยังไงความตายก็กินรวบ หาหนทางชนะจนได้

และอีกอย่างที่ชอบคือ ชอบที่ตัวอย่างหลอกคนดูครับ โดยเฉพาะตัวอย่างที่ฉายให้เห็นถึงตอนที่อีริกโดนไฟไหม้นั่น ไอ้เราก็นึกว่าอีริกจะเสร็จไปแล้ว ที่ไหนได้มีหักมุมแฮะ เออ เข้าท่าดี

===============================

ดีใจครับที่หนังทำเงินสวยเอามากๆ ทำไปถึง $285 ล้านจากทั่วโลก คุ้มทุน $50 ล้านแบบสุดๆ

แต่สิ่งหนึ่งที่พาให้ใจหายก็คือ นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอกับคุณลุง Tony Todd ครับ ฉากที่เขาปรากฏตัวในภาคนี้ผมถือว่ามีความหมายนะ ไม่ใช่แต่เฉพาะกับหนังชุดนี้เท่านั้น แต่มันมีความหมายต่อคอหนังสยองขวัญอย่างผมมากๆ ซึ่งกล่าวกันว่าตอนถ่ายทำฉากที่ว่านี้ ลุง Tony ก็รู้ตัวว่าคงเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว และทีมงานก็ได้บอกให้เขาพูดในสิ่งที่เขาอยากจะบอกกับแฟนๆ เป็นครั้งสุดท้าย และนั่นก็กลายเป็นฉษกสุดท้ายในชีวิตการแสดงของเขาจริงๆ – ขอบคุณสำหรับทุกบทบาทที่คุณลุงได้สรรสร้างไว้นะครับ ขอบคุณจากใจครับ ^_^

สรุปว่าสนุกครับ แล้วผมก็ต้องจัดซ้ำอีกอย่างแน่นอน

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

(7.5/10)