จากวรรณกรรมอมตะของจีนสู่เวอร์ชั่นภาพยนตร์ครับ กำกับโดย หลี่ฮั่นเซียง (Li Han Hsiang) ผู้คร่ำหมวดอีกคนของวงการ
เรื่องของบ้านตระกูลเจี่ย ที่มีคุณชายผู้เอาแต่ใจอย่างเจี่ยเปาหยู (หลินชิงเสีย, Brigitte Lin) โดยเขาได้เติบโตมากับหลินไต้หยู (จางอ้ายเจีย, Sylvia Chang) และเปาไช่ (หมีเซียะ, Michelle Yim) 2 สาวที่มาพึ่งใบบุญอาศัยอยู่ใต้ชายตาของตระกูลเจี่ย ทีนี้พอแต่ละคนโตขึ้นพวกเขาก็เริ่มเกิดความรู้สึกดีๆ ต่อกัน อย่างเปาหยูก็รู้สึกผูกพันกับไต้หยู แต่ความรักของพวกเขากลับนำมาสู่โศกนาฏกรรม
หนัง Shaw ซะอย่าง ดาราคับคั่งเช่นเคยครับ ไม่ว่าจะ Wang Lai ในบทท่านย่าตระกูลเจี่ย, เยี่ยหัว (Yueh Hua) ในบทเจี่ยเจิ้ง นายท่านตระกูลเจี่ย, Ouyang Sha Fei เป็นเจี่ยฮูหยิน, Hu Chin เป็นป้าเหลียน ผู้มีสมญาว่าพริกขี้หนู, ตีปอร่า (Deborah Dik) รับบทจือจวน สาวรับใช้ข้างกายคุณหนูหลิน, Niu Niu เป็นหยูหาน นักแสดงเจ้าของนาม ฉีกวน, ฮุ่ยอิงหง (Kara Wai) เป็นสาวรับใช้นามซื่อเยว่, Yu Tsui Ling เป็นสาวรับใช้นามชิงเหม่ย, หลิวฮุ่ยหลิง (Liu Hui Ling) เป็นสาวรับใช้นามหยวนหยาง
และเรายังจะได้เจอ กุ๊ฟง (Ku Feng) มาโผล่แว้บๆ เดป็นนักพรตที่มาทำพิธีปัดรังควานให้คุณชายเจี่ย และหวังชิงเหอ (Wong Ching Ho) รายนี้ก็มาแว้บๆ เป็นหนึ่งในขุนนางที่มาตอนประกาศราชโองการ
ถือเป็นผลงานคลาสสิคอีกเรื่องของ Shaw Brothers ครับ งานสร้างดี ดนตรีเพราะ เพลงไพเราะ ดาราก็แสดงกันได้ดีโดยเฉพาะหลินชิงเสียนี่โดดเด่นมากๆ ในบทคุณชายจอมเอาแต่ใจ ส่วนจางอ้ายเจียก็ดูเหมือนเหลือเกินกับคุณหนูผู้เก็บงำความรู้สึก ช่วงท้ายๆ นี่ยอมรับเลยครับว่าสงสารเธอไม่น้อย ส่วนดารารายอื่นก็ถือว่าเล่นได้ดีตามที่บทจะอำนวยครับ
สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับคือการจะเอาวรรณกรรมอมตะมาบรรยายบรรเลงในเวลาแค่ไม่ถึง 2 ชั่วโมงแบบนี้ รายละเอียดหลายอย่างย่อมไม่ครบ หรือเรื่องเชิงอารมณ์ ความรู้สึกก็อาจยังไม่ลึกซึ้งมากนัก บางช่วงก็อาจรวบรัด บางช่วงก็อาจกระท่อนกระแท่นไปบ้าง สำหรับผมแล้วหนังจัดว่าอยู่ในข่ายดีครับ เพียงแต่อาจยังไม่ถึงกับดีที่สุดเท่านั้นแหละ แต่ก็เชื่อว่าสำหรับคอหนังแนวนี้ก็น่าจะพอใจกับตัวหนังในระดับหนึ่ง
ส่วนสาระของหนังซึ่งก็หยิบยกมาจากนิยายนั้นก็ว่าด้วยการสะท้อนเรื่องศักดินาชนชั้นที่หลายครั้งหลายคราก็สร้างความปวดร้าวให้กับผู้คน บางคนก็มิอาจคบหากันเพียงเพราะคำว่าฐานะและชนชั้น ในขณะที่คนชนชั้นเดียวกันบางทีพอคบกันก็คบเพราะผลประโยชน์ หาได้คบกันด้วยความจริงใจไม่
ไหนจะเรื่องศักดิ์ศรีหน้าตา ยิ่งคนชนชั้นสูงก็ยิ่งต้องทำอะไรที่รักษาหน้า ซึ่งการทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกเพื่อรักษาไว้ซึ่งชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลก็อย่างหนึ่ง แต่บางอย่างมันคือเรื่องจอมปลอม ไม่ใช่แก่นสารอันแท้จริง แต่เป็นเพียงแค่เปลือก แค่สิ่งผิวเผินเท่านั้น
ยังมีเรื่องการควบคุมที่เกินขนาดของบิดรมารดาและการเอาอกเอาใจเกินขนาดของคนที่เป็นลูกชายคนเดียว ตามใจก็ตามใจสุด ลงโทษก็ลงโทษสุด ไม่มีจุดพอดี ไม่มีทางสายกลาง จนไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากสุดท้ายแล้วลูกหลานที่โตมาพร้อมการเลี้ยงดูแบบนี้จะไม่มีทักษะอันเหมาะสมในการใช้ชีวิตหรือในการตัดสินใจ
สาระเหล่านี้แม้จะถูกสะท้อนไว้ในวรรณกรรมที่อายุอานามเก่ากว่า 200 ปีแล้วก็ตาม แต่ทุกวันนี้เราก็ยังพบเห็นเรื่องเหล่านี้อยู่เนืองๆ ครับ… ในแง่หนึ่งก็น่าทึ่งที่งานเขียนเก่าแก่เช่นนี้ยังสามารถสะท้อนความจริงในโลกปัจจุบันได้ แต่หากมองในอีกแง่ก็อดไม่ได้ที่จะเศร้าใจครับ ที่ดูเหมือนว่ายังมีมนุษย์อีกมากหลายที่ไม่ได้เรียนรู้เรื่องเหล่านี้เลย ทั้งที่เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งหลายก้าวไกล คนสามารถค้นหาความรู้ได้แบบรู้หมดเห็นหมดมากขึ้น…เพราะข้อมูลและองค์ความรู้กระจายไปไม่ทั่วถึง หรือคนไม่ขวนขวายที่จะรู้เพิ่มเติม หรือเพราะเหตุผลอื่นใด…
อยากบอกเพียงว่า หากเรื่องอื้อเรื่องฉาวยังสามารถขุดลึกล่วงรู้กันได้แบบถ้วนถี่ เรื่องสำคัญต่อชีวิตแบบนี้ รู้กันเอาไว้บ้าง ก็ไม่น่าจะเสียหายนะครับ ^_^
กลับมาที่เรื่องหนังครับ สรุปคือผมชอบครับ ถือเป็นหนังที่ทำออกมาได้ดีเรื่องหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงกับสมบูรณ์เด็ดขาด แต่ของดีของเด็ดเลยต้องยกให้หลินชิงเสียครับ แสดงได้ดีมากจริงๆ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)












