ผมดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกเมื่อ 24 ปีก่อนครับ ครั้นพอดูจบหัวผมก็คิดขึ้นมาเลยว่า “หนังอะไรกันเนี่ย?” ซึ่งไม่ใช่ในแง่ลบนะครับ แต่เป็นความคิดในแง่บวก เพราะก่อนหน้านั้นผมไม่เคยดูหนังทำนองนี้มาก่อน แล้วมันก็เลยรู้สึกประทับใจเล็กๆ ว่ามีหนังแบบนี้ให้ดูด้วยหรือเนี่ย
พล็อตเรื่องว่าด้วยมือสังหารสไนเปอร์หนุ่ม (Dolph Lundgren) กับสาวคนชี้เป้า (Gina Bellman) ที่ปฏิบัติภารกิจร่วมกันในงานหนึ่ง แต่บทลงเอยของงานนั้นคือมือสังหารไม่ยอมลั่นกระสุน แล้วพวกเขาก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนแยกกันไปคนละทาง
จากนั้นหลายปีต่อมา พวกเขาก็ได้กลับมาเจอกันอีกในภารกิจใหม่ โดยทั้งคู่ต้องซุ่มอยู่บนตึกระฟ้าที่กำลังก่อสร้าง และการกลับมาเจอกันอีกครั้งของพวกเขาก็ทำให้ความรู้สึกบางอย่างค่อยๆ ก่อตัว
นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นครับ ตอนแรกผมก็คิดนะว่าพอเห็นหน้าพี่ Dolph นี่ถ้าไม่ยิงกันกระหน่ำก็คงต้องซัดกันกระจาย แต่เปล่าครับ เรื่องนี้ไม่เน้นแอ็คชั่นเลย แต่มันจะออกแนวดราม่าเน้นเล่าความสัมพันธ์และห้วงความคิดของ 2 ตัวเอก ประมาณว่าเหตุการณ์ปัจจุบันก็ดำเนินไป แล้วหนังก็จะเล่าตัดสลับกับเหตุการณ์ในอดีตที่พวกเขาเคยทำงานร่วมกัน ซึ่งมันก็จะมีฉากแอ็คชั่นบ้างประปราย แต่ก็อย่างที่บอกครับว่ามันไม่เน้นเท่าไร แล้วก็มีบู๊กันอีกทีตอนท้ายเลย ดังนั้นใครตั้งเป้าจะดูหนังบู๊ ก็คงต้องบอกก่อนว่าเรื่องนี้มีบู๊ไม่เยอะครับ
แล้วผมประทับใจหนังเรื่องนี้ตรงไหน? ก็คงจะต้องที่การเล่าเรื่องที่มันไม่ได้แอ็คชั่นอย่างที่คิด แต่มันกลับบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างสไนเปอร์กับสาวชี้เป้าซึ่งในแง่การเล่าเรื่องมันก็อาจจะไม่ได้เล่าดี เล่าซึ้ง หรือเล่าลึกอะไรน่ะนะครับ แต่สำหรับผมตอนนั้นมันไม่เคยเจอหนังแนวนี้ไง มันเลยอึ้งเล็กๆ แล้วไม่รู้ทำไมครับ ผมรู้สึกชอบบรรยากาศในหนังมาก คือฉากหลังของหนังมันคือตีกที่ยังสร้างไม่เสร็จครับ แล้วผมก็รู้สึกว่าความโล่งโถงเวิ้งว้างของตึกนี้ มันดูเข้ากับอารมณ์หนังยังไงก็ไม่รู้
เพราะทั้ง 2 คนนี้ต่างก็ใช้ชีวิตอยู่ในเงา ไม่ได้ทำมาหากินแบบคนทั่วไป ชีวิตพวกเขาจึงค่อนข้างโล่งโถง ไร้คนชิดใกล้ ไร้หลักแหล่งที่แน่นอน ดังนั้นวาระที่ทั้งสองมาทำงานร่วมกัน มันคือวาระที่คนโดดเดี่ยวอย่างพวกเขาได้ “มีใครสักคน” มาข้องแวะในชีวิต มันคือวาระที่พวกเขาไม่ได้อยู่คนเดียวเหมือนอย่างเคย – ระหว่างดูมันสัมผัสได้น่ะครับ ว่าวาระเหล่านี้ที่พวกเขามาเจอกัน มันมีความหมายบางอย่าง และมันแอบโรแมนติกอยู่ในที
ที่ผมบรรยายไปนั้นคือความรู้สึกของผม ณ ตอนนั้นน่ะนะครับ คือว่าตามจริงหนังมันอาจไม่ได้ดีเด่อะไร และห้วงอารมณ์ที่ผมบอกไปนั้นคนทำก็ไม่ได้ชงจนมันถึงรส แต่ผมว่ามันคือสิ่งที่มากับบทครับ มากับสถานการณ์และเรื่องราว ประมาณว่าพล็อตแบบนี้ สถานการณ์ตามท้องเรื่องแบบนี้ มันมี “คาแรคเตอร์” เฉพาะตัวของมันอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ว่าคนกำกับจะทำถึงหรือไม่ แต่ยังไงคนดูก็จะสัมผัสได้ถึงห้วงความรู้สึกแบบนี้
หนังกำกับโดย Russell Mulcahy แห่ง Highlander ครับ ซึ่งผมว่าพี่เขาคงยังไม่แม่นในเรื่องการจับเอาอารมณ์มาเล่า ส่วนที่ผมบอกไปนี้มันเลยยังไม่สุด เช่นเดียวกับตัวหนังที่จริงๆ ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆ ในแง่แอ็คชั่นก็ไม่ได้มันส์มากมาย หรือในแง่ดราม่าก็ยังไม่ลึกซึ้งจับใจ ซึ่งความน่าสนใจมันอยู่ที่บทน่ะครับ บทนี้เขียนโดย Sergio Altieri มือเขียนบทชาวอิตาเลียนที่จากโลกนี้ไปในปี 2017 และบทหนังเรื่องนี้คือบทชิ้นสุดท้ายที่เขาเขียนไว้ (จริงๆ ยังมีบทหนังอีกเรื่อง แต่ก็ยังไม่มีการทำเป็นหนังออกมาแบบจริงๆ จังๆ)
นี่ล่ะครับ คือสิ่งที่ผมรู้สึก ซึ่งก็ต้องย้ำอีกทีว่าหนังไม่ได้ดีขนาดถึงขั้นห้ามพลาด แต่ถ้าใครอ่านที่ผมเขียนแล้วอยากรู้ ว่าหากท่านดูแล้วจะรู้สึกอย่างไร ผมว่าก็ไม่เสียหายที่จะลองครับ – และตอนนี้แอบคิดแล้วนะ ว่าถ้ามีคนเอาไปรีเมคให้ถึงๆ มันคงจะเจ๋งไม่น้อย คือถ้าทำดีๆ นี่มันน่าจะออกมาเป็น “Before Sunrise เวอร์ชั่นสไนเปอร์” เลยล่ะครับผม
สองดาวครับ
(6/10)
หมวดหมู่:Action, Drama, Movie Reviews, Thriller











