หลังจากดูจบ 3 ปีรอดแล้วบอกได้เลยครับว่าชอบ ถือเป็นซีรี่ส์แนวแอ็คชั่นสืบสวนที่ทำออกมาได้มันส์และเดือดมากๆ
Alan Ritchson ถือเป็นตัวเลือกที่เหมาะครับสำหรับบท แจ็ค รีชเชอร์ คือมาดใช่ หุ่นให้ ดูดุดัน เด็ดขาด ครบเครื่องความเป็นรีชเชอร์แบบที่ผมชอบจริงๆ
และเรื่องราวก็เล่าได้สนุกด้วยครับ อันนี้ความดีความชอบก็ต้องยกมาตั้งแต่สมัยนิยายที่ Lee Child สร้างสรรค์เอาไว้ ตัวนิยายก็สนุกครับ และพอเอามาถ่ายทอดเป็นหนังก็ถือว่าทำได้ถึง มันดูสนุก มีความระทึก มีความตื่นเต้นชวนติดตาม โดยปีแรกนี่ดัดแปลงจาก ลานละเลงเลือด (Killing Floor) ส่วนปี 2 ก็แปลงมาจาก ถอดสมการฆ่า (Bad Luck and Trouble) และปี 3 ที่แปลงจากเล่ม ตลบหลังฆ่า (Persuader) ซึ่งบอกได้เลยว่าสนุกทุกปี ทำออกมาได้ดีแบบพอเหมาะ
ผมชอบที่หนังเล่าเรื่องได้กระชับครับ คืออาจมีอ้อยอิ่งบ้างแต่ก็ไม่มาก ส่วนใหญ่จะเล่าแบบเข้าประเด็น เลยทำให้แทบไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย แต่ละฉากแต่ละตอนล้วนมีผลกับเรื่องราว หรือไม่ก็ทำให้เราได้รู้จักกับตัวละครทั้งหลายในเรื่องมากขึ้น ซึ่งก็ต้องขอบคุณคนทำด้วยล่ะครับที่ทำออกมาปีละ 8 ตอน ไม่พยายามลากยาวไปมากกว่านั้น ผลที่ได้มันเลยกลมกล่อม กำลังดี ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
สิ่งที่ผมชอบที่สุดเกี่ยวกับพี่แจ็ค (ทั้งในซีรี่ส์และนิยาย) คือความเด็ดขาดนี่แหละครับ คือในมุมหนึ่งอาจมีคนมองว่าแกโหดนะ เพราะหลายครั้งที่พี่แก “ฆ่าเป็นฆ่า” แต่ผมว่าเหตุผลหนึ่งที่พี่เขาอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ได้ก็เพราะความเด็ดขาดอันนี้แหละ เพราะบางทีบางคนก็ไม่ควรปล่อยไว้ให้เป็นภัยหรือไปก่อกรรมอีก ยอมรับนะครับว่าบางทีดูซีรี่ส์แนวนี้แล้วมันก็มีหงุดหงิดนะ เพราะบางตัวละครนี่ดูก็รู้น่ะว่าไม่กลับตัวกลับใจหรอก และการเก็บไว้ก็รังแต่จะทำให้เกิดปัญหา อาจไปฆ่าคนอื่นต่อหรือก่อคดีใหม่ คือมันมีจริงๆ น่ะครับคนแบบเนี้ย
และคนอย่างพี่แจ็คก็ไม่อะไรมากครับ เจอคนแบบนี้พุ่งเข้ามาคิดเล่นงานแก พี่ก็ซัดซะ เท่านี้ประเด็นปัญหาก็ลดไปหนึ่งเปลาะ – จุดนี้ผมก็มั่นใจน่ะครับว่าอาจมีคนมองต่าง ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับ เรามองต่างกันได้อยู่แล้ว แต่ผมบอกได้เพียงว่า ผมอยู่ข้างพี่แจ็คครับ สำหรับประเด็นนี้
หนังถือว่าถึงพร้อมในทุกภาคส่วนครับ มีเนื้อเรื่องดีเป็นทุนอยู่แล้ว งานสร้างต่างๆ ก็ถึงฟอร์ม ดาราแต่ละคนก็คัดมาดี เหมาะกับบท การเล่าเรื่องทิ้งปมต่างๆ ก็จัดว่าเจ๋ง ดูแล้วมันอยากดูต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะจบปี – และดีไม่ดีถ้ามีปีต่อไปมาฉายต่อเลย เราก็พร้อมจะตามไปดูต่อในทันทีอีกเหมือนกัน – ผมว่าของดีมันต้องแบบนี้ล่ะครับ มันต้องทำให้เรา “อยากได้อีก” ดูจบแล้วยังอยากดูต่อ มันต้องแบบนี้ล่ะถึงจะเรียกว่าเจ๋งจริง
ถ้าถามว่าผมชอบปีไหนสุด ก็ตอบได้ว่า “ชอบทุกปี” ครับ แต่ละปีมันก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันไป อาจมีตอนที่ดร็อปลงมาบ้างแต่ก็ไม่เยอะ โดยรวมคือน่าดูและชวนติดตามทุกตอน สำหรับผมนี่คือไม่ผิดหวังครับ ของเขาดีจริง ดีทุกปีเลย
และถ้าถามว่าผมชอบฉบับหนัง (ที่ Tom Cruise เล่น) หรือฉบับนี้มากกว่า ก็คงต้องตอบว่า “ฉบับซีรี่ส์” ครับ สำหรับฉบับหนังนี่ภาคแรกผมชอบนะ ส่วนภาคสองก็เฉยๆ แต่กับซีรี่ส์นี่ 3 ปีไม่ทำให้ผิดหวัง แต่วันดีคืนดีผมก็คงเอา Jack Reacher ภาคแรกมาดูซ้ำอีกล่ะครับ เพราะมันก็สนุกดีเหมือนกัน
อีกอย่างที่ไม่ชมไม่ได้คือเพลงครับ เพลงที่ได้รับคัดเลือกมาเปิดใน End Credits แต่ละตอนนั้นล้วนเลือกมาได้เหมาะ ได้อารมณ์อย่างยิ่ง มันจะได้กลิ่นอายความเท่ห์ผสมความกวนแบบรีชเชอร์ๆ น่ะครับ เข้าท่าดี
และอยากบันทึกความรู้สึกไว้หน่อยว่า ผมชอบตอนจบปี 3 นะ จริงๆ อารมณ์ของแต่ละปีมันจะเหมือนกันครับ นั่นคือแจ็ค รีชเชอร์ไปยังสถานที่แห่งใหม่ แล้วก็ได้เจอผู้คนประจำปีนั้นๆ ได้ผ่านได้เจออะไรมาด้วยกัน และพอถึงบทสรุปของปี พวกเขาก็จะอำลาแยกจากกัน ต่างคนต่างก็ไปใช้ชีวิตตามทางของตน ส่วนแจ็คก็กลับสู่ถนน ออกเดินทางเพียงลำพังต่อไป – และผมว่าปี 3 นี่มันจบได้แบบเน้นย้ำอารมณ์ที่ว่าจนชัดเจนขึ้น เราจะได้เห็นตัวละครที่ยังเหลืออยู่ ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันไป บางคนก็กลับไปทำงานต่อ บางคนก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ ส่วนแจ็คก็ตามเคยครับ ขี่มอเชอร์ไซค์จากไปตามลพัง บนถนนสายเปลี่ยวที่เหมือนจะมีเขาอยู่คนเดียวบนถนนเส้นนั้น – มันให้อารมณ์เหงาๆ สันโดษๆ ที่น่าสนใจดีครับ
สรุปคือใครยังไม่ดู ก็ขอร้องเลยครับว่าดูเถิด ไม่ชอบก็แค่หยุด แต่ผมว่าถ้าท่านชอบแนวนี้ยังไงก็คงโดนไม่มากก็น้อย
ส่วนผมนี่อยู่ในข่าย “โดนมาก” เลยครับผม
สามดาวครึ่งครับ
(8.5/10)












