Action

The Art of War II: Betrayal (2008) ทำเนียบพันธุ์ฆ่า สงครามจับตาย 2

เจ้าหน้าที่ลับนีล ชอว์ (Wesley Snipes) ตัดสินใจเกษียณตัวเองออกจากวงการไปทำงานเป็นที่ปรึกษาให้ดาราชื่อดังอย่างจอห์น การ์เร็ตต์ (Lochlyn Munro) ที่อนาคตไกลถึงขั้นเป็นตัวเต็ง สว. แต่แล้วจอห์นก็ตกเป็นเป้าของมือสังหาร และมีคนอีกมากมายที่ถูกหมายหัว นีลจึงต้องหวนคืนวงการแล้วตามล่าหาความจริง ว่าใครกันแน่ที่อยู่เบื้องหลังแผนร้ายครั้งนี้

ภาคแรกผมถือว่ากลางๆ นะครับ คือไม่ได้เจ๋งมากแต่ก็ถือเป็นหนังที่พอดูได้ของ Snipes แต่กับภาคนี้ที่ทำลงวีดีโอเลยนี่บอกเลยว่าทำให้ภาคแรกดูดีขึ้นมาทันตาเห็น สิ่งที่พอไหวสำหรับภาคนี้ผมว่าคือลีลาบู๊ของ Snipes ที่จริงๆ ก็ไม่เลว แต่เสียดายที่ตากล้องยังจับภาพได้ไม่ดีนัก เลยเก็บลีลาพะบู๊ของพี่แกได้ไม่หมด แล้วการตัดต่อก็ยังไม่เวิร์คแบบเต็มร้อย บางฉากก็มืดไป ทั้งหมดนี้เลยทำให้ความมันส์ที่พึงมีพลอยหดไปเยอะเลย

ส่วนพล็อตจริงๆ ไม่เลวนะครับ ถ้ามองโครงสร้างดีๆ มันคือสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้นั่นแหละ ตัวเอกต้องไปตกอยู่ท่ามกลางแผนร้ายบางอย่างของใครบางคนที่วางแผนเพื่อทำให้ตนเองได้อำนาจ แล้วพระเอกก็ค่อยๆ สืบ ค่อยๆ ขวาง จนสุดท้ายผู้อยู่เบื้องหลังรายใหญ่ก็มักจะเป็นใครสักคนที่พระเอกรู้จัก – ชื่อภาคก็บอกแล้วครับว่า Betrayal ซึ่งก็คือการทรยศหักหลังนั่นแหละ

พล้อตมันก็ตามสูตรครับ ถ้าเล่าดีๆ ก็น่าจะพอเพลินอยู่ แต่ก็ดูเหมือนผู้กำกับ Josef Rusnak (The Thirteenth Floor) จะเล่าเรื่องได้ไม่เพลินเท่าไร ในแง่หนึ่งอาจเพราะข้อจำกัดเรื่องทุนด้วยล่ะครับ เพราะบางฉากนี่ดูแล้วคิดเลยว่าหนังพยายามจะเป็น Enemy of the State ที่มุมกล้องกับการตัดต่อฉับไว และมีตัวละครใช้เทคโนโลยีมาทำงาน – เดาว่าคงอยากทำให้หนังดูหวือหวาขึ้น แต่ผลที่ออกมามันไม่เวิร์คเท่าไร

อีกอย่างที่ดูพยายามมากๆ คืองานดนตรีของ Peter Allen ครับ คือฟังแล้วรู้เลยว่าพยายามเร้าอารมณ์ให้มันตื่นเต้น ให้มันมันส์ แต่พอดีภาพตรงหน้ามันไม่มันส์เบอร์นั้น ดนตรีเลยออกจะเสียเปล่าไปหน่อย

สรุปคือไม่ใช่งานที่น่าจดจำนักครับ ใครเพลินกับภาคแรกถ้าจะมาดูภาคนี้ก็คงต้องเผื่อใจไว้หลายๆ ชั้นหน่อย เพราะภาคแรกมันดูพอดีกว่าทั้งเนื้อหา ทั้งคิวบู๊ และองค์ประกอบต่างๆ ในขณะที่ภาคนี้ทั้งงานสร้างและดารามันดร็อปลงมาหมด ซึ่งผมก็คงไม่โทษเรื่องทุนอย่างเดียวน่ะครับ (ภาคนี้ทุนสร้าง $13 ล้าน แต่ภาคแรกทุน $60 ล้าน) เพราะการเล่าเรื่อง การวางปมต่างๆ มันก็ไม่ได้ชวนติดตามสักเท่าไรด้วย

แต่กระนั้นหนังภาคนี้ก็ยอดขายไม่เลวนะครับ แค่ตอนเปิดตัวก็ขายได้กว่า 200,000 ก็อปปี้ มูลค่าก็กว่า $4 ล้าน ทีเดียว

ดาวกว่าครับ

(4.5/10)