ลิงค์ โจนส์ (Gary Cooper) เข้าเมืองมาเพื่อขึ้นรถไฟไปยังจุดหมาย แต่ระหว่างทางเกิดการปล้นจนทำให้เขาตกรถไฟ เขาเลยต้องเดินเท้าไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด โดยมีเพื่อนร่วมทางอย่างบิลลี่ เอลลิส (Julie London) นักร้องเสียงทอง และแซม บีสลี่ย์ (Arthur O’Connell) คุณลุงช่างพล่ามที่ตกขบวนเหมือนกัน
เมื่อพวกเขาเดินไปสักพักก็พบกับบ้านที่เหมือนจะร้าง แต่พอลิงค์เดินเข้าไปก็ได้พบกับก๊กโจรที่นำโดย ด็อก โทบิน (Lee J. Cobb) และดูเหมือนว่าลิงค์กับด็อกจะรู้จักกันมาก่อนด้วย… ผมเล่าแค่นี้ล่ะนะครับ เรื่องที่เหลือลองไปชมกันเองน่าจะสนุกกว่า
สิ่งแรกที่ต้องแจ้งคือ นี่เป็นหนังคาวบอยแนวดราม่าครับ ส่วนฉากต่อสู้หรือยิงกันนั้นมีประมาณ 3 ฉาก คือช่วงต้นตอนปล้นรถไฟนิดหน่อย แล้วก็มาตอนกลางเรื่องอีกนิดนึง ก่อนที่ตอนไคลแม็กซ์จะมีการยิงกันแบบเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นใครคาดหวังความมันส์แบบสาดกระสุนก็ต้องปรับใจก่อนดูนะครับ
ส่วนใหญ่เนื้อที่ในหนังจะว่าด้วยการพยายามเอาตัวรอดของลิงค์และบิลลี่ที่โดนก๊กโจรของด็อกรายล้อมและจ้องจะจัดการอยู่เนืองๆ อย่างบิลลี่นี่เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงสาวสวยเธอเลยตกเป็นเป้าในการแทะโลมและจ้องจะถูกล่วงเกิน โดยลิงค์ก็ต้องหาทางทำอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องเธออยู่เสมอ ซึ่งความสนุกของหนังก็อยู่ตรงนี้แหละครับ ดูไปก็ลุ้นไปว่าลิงค์จะหาทางเอาตัวรอดและช่วยผู้บริสุทธิ์อย่างไร
แต่ก็ต้องบอกก่อนว่าหนังไม่ได้เข้มข้นถึงขนาดมีการเฉือนคมหักเหลี่ยมกันแบบเต็มสูบหรอกนะครับ คือหนังมันก็สนุกและน่าติดตามนั่นแหละ เพียงแต่ความสนุกจะอยู่ในระดับหนึ่ง ยังไม่ถึงขั้นลุ้นมากหรือข้นคลั่กแบบจัดๆ แต่เท่าที่หนังเป็นนี่ก็ถือว่าทำได้ดีในระดับที่น่าพอใจแล้วล่ะ
Cooper ไปได้ดีเสมอครับกับบทสุภาพบุรุษชายชาตรีที่มีหลักการ มีคุณธรรม และมีไหวพริบ ผมชอบที่หนังค่อยๆ เผยเรื่องราวของเขาทีละน้อย มันทำให้เราเข้าถึงตัวละครนี้มากขึ้นๆ จนเข้าใจได้ถึงหลายๆ การตัดสินใจในช่วงหลังๆ ส่วน Cobb ก็ดูเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ได้สมบทอยู่ เพียงแต่รู้สึกว่าดีกรีความร้ายของก๊กโจรกลุ่มนี้เหมือนๆ จะมีเยอะนะครับ แต่ไปๆ มาๆ ก็ยังร้ายไม่ถึงขีด แต่ก็พอเข้าใจน่ะครับหากดูจากหน้าหนัง เพราะถ้าตัวร้ายมีความร้ายและเก่งฉกาจมากเกินไป การจะเขียนให้พระเอกงัดสมองมาสู้ก็อาจจะต้องใช้กำลังภายในมากขึ้น – มันจะยากน่ะครับ
อันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าใน The Border Jumpers นิยายต้นฉบับที่เขียนโดย Will C. Brown นั้นร่ายไว้อย่างไรบ้าง แต่เท่าที่เห็นในหนังก็เป็นอย่างที่เล่าครับ คือพระเอกก็เก่งในระดับหนึ่ง (แต่ยังไม่สุด) พวกผู้ร้ายก็เก่งในระดับหนึ่ง (แต่ก็ยังไม่สุด) เลยทำให้หนังออกมาสนุกในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สุดอีกเหมือนกัน
ส่วน London นางเอกของเรื่องก็แสดงได้ดีเช่นกันครับ ในยามปกติเธอก็ดูเริ่ดๆ เชิดๆ ตามสไตล์นักร้องที่มีชื่อเสียง แต่พอตกอยู่ในมือโจร พอโดนข่มขู่ให้ทำนั่นทำนี่ ท่าทางเธอดูสั่นกลัวและน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คือดูแล้วสงสารเธอขึ้นมาจับใจเลยครับ ไหนจะบทสรุปของเรื่องที่ผมก็มีคำถามนะ ว่าชีวิตเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป – ใครดูแล้วจะเข้าใจครับ โดยเฉพาะปมของเธอที่มีต่อลิงค์ นี่ก็ยิ่งน่าเห็นใจหนักขึ้นไปอีก
และอีกคนที่ผมว่าจริงๆ ก็เด่นคือ O’Connell ที่ครึ่งแรกของหนังถือเป็นสีสันที่ดี แล้วก็ตกใจเหมือนกันกับชะตากรรมของตัวละครนี้ ยอมรับว่าไม่นึกครับว่าจะลงเอยแบบนั้น – อีกคนที่เด่นไม่แพ้กันก็คือ Jack Lord ที่ในเวลาต่อมาจะได้ไปเป็น เฟลิกซ์ ไลเตอร์ คนแรกแห่งหนังตระกูลเจมส์ บอนด์ใน Dr. No ตามด้วยบทสตีฟ แม็คการ์เรตต์แห่ง Hawaii Five-O มาเรื่องนี้พี่เขาเล่นร้ายครับ เป็นโคลลี่ย์ ตัวร้ายจอมกวนที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับลิงค์อยู่ตลอด รายนี้ก็เป็นสีสันที่น่าจดจำอีกเช่นกัน
ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานที่น่าจดจำของผู้กำกับ Anthony Mann ครับ แม้ในบทความผมจะใช้คำว่า “ยังไม่สุด” อยู่บ่อยๆ ก็เถอะ แต่เท่าที่หนังเป็นนี่ก็ต้องนับว่าดูเพลิน ดูสนุก และน่าติดตามพอตัวแล้ว
และว่ากันว่าในช่วงนั้นมีหลายคนที่เกิดคำถามว่าทำไมหนังเรื่องนี้ไม่นำแสดงโดย James Stewart เพราะสมัยนั้น Stewart กับ Mann ถือว่าคู่บุญกันมา ทำงานร่วมงานมาหลายเรื่องไม่ว่าจะ Winchester ’73, Bend of the River, The Naked Spur, Thunder Bay, The Glenn Miller Story, The Far Country, Strategic Air Command และ The Man from Laramie ซึ่งเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ก็มีออกมาหลายแบบครับ ตั้งแต่ข่าวที่บอกว่า Mann นั้นมองว่า Stewart ไม่เหมาะกับบทนี้ เขาเลยไม่ส่งสคริปไปให้อ่าน แล้วนั่นทำให้ Stewart โกรธมากและเอ่ยปากเลยว่าจะไม่ร่วมงานกับ Mann อีกต่อไป
แต่บางกระแสก็บอกว่าความขัดแย้งระหว่าง Mann กับ Stewart นั้นมีมาตั้งแต่ตอนถ่ายทำหนังเรื่อง Night Passage แล้ว ซึ่งตอนแรก Mann จะได้กำกับเรื่องนั้นแต่พอมีความคิดเห็นขัดแย้งในเรื่องบทกับ Stewart เลยทำให้ Mann ตัดสินใจเดินออกจากโปรเจคท์ไป แล้วทั้งสองก็ต่างคนต่างเดินนับแต่นั้น
และอีกกระแสหนึ่งมาจากปากของผู้อำนวยการสร้าง Walter Mirisch ที่บอกว่า ยังไง Stewart ก็จะไม่ได้เล่นหนังเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะ Cooper เซ็นต์สัญญาแสดงหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ตอน Cooper ถ่ายทำหนังเรื่อง Love in the Afternoon อยู่ (ซึ่งก็ราวๆ ปี 1956 ครับ) และในตอนนั้นยังไม่มีการเลือกว่าใครจะมาเป็นผู้กำกับด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่มีชื่อของ Stewart อยู่ในสมการตั้งแต่แรกแล้ว
ตัวหนังเมื่อตอนออกฉายนั้นไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไรครับ ว่าตามจริงคือหนังได้รับความสนใจน้อยมากจนน่าเห็นใจ แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อ Jean-Luc Godard นักวิจารณ์หนังของฝรั่งเศส (ที่ในเวลาต่อมาจะเป็นผู้กำกับระดับตำนาน) ออกมาชื่นชมว่านี่เป็นหนังที่ดีที่สุดในปีนั้น ซึ่งนั่นจุดกระแสให้คนหันมาสนใจหนังเรื่องนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปหนังก็ได้รับความนิยมมากขึ้นจนในที่สุดก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในหนังคาวบอยระดับคลาสสิคไปในที่สุด
บางสิ่งบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับเวลาจริงๆ ครับ…
เกร็ดที่ขอทิ้งท้ายเอาไว้ก็คือ London เคยเอ่ยปากไว้ว่า หนังเรื่องนี้คือผลงานที่เธอชอบที่สุดครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Western












