Action

The Accountant 2 (2025) ดิ แอคเคาท์เเทนต์ อัจฉริยะคนบัญชีเพชฌฆาต 2

สรุปได้แบบไม่ยากเย็นว่าชอบภาคแรกมากกว่าภาค 2 แต่ก็บอกได้แบบตรงๆ เหมือนกันว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นภาคต่อที่ทำได้ดี คุ้มค่าแก่การรับชม

ภาคนี้เกิดเรื่องกับเรย์ คิง (J.K. Simmons) หนึ่งในตัวละครจากภาคก่อน จนส่งผลให้นักบัญชีอัจฉริยะคริสเตียน วูลฟ์ (Ben Affleck) ต้องก้าวเข้ามาสืบหาความจริง โดยงานนี้แบร็กซ์ตัน (Jon Bernthal) น้องชายตัวดีของคริสเตียนก็โดดลงมาร่วมขบวนด้วย เช่นเดียวกับ แมรี่เบธ เมดิน่า (Cynthia Addai-Robinson) ที่กลับมาด้วยเหมือนกัน

หนังถือว่าดูได้เรื่อยๆ ครับ แค่ช่วงต้นเปิดมาก็เดือดแล้ว ครั้นพอก้าวสู่เส้นเรื่องหลักหนังก็เดินเรื่องแบบค่อนข้างกระชับและพาคนดูร่วมรับรู้เรื่องราวไปทีละน้อย ระหว่างทางก็มีแอ็คชั่นประปราย แล้วก็เหยาะด้วยความสัมพันธ์แบบกวนๆ ตามประสาพี่น้อง ก่อนที่ทุกอย่างจะไปสรุปในตอนท้าย ซึ่งก็มีแอ็คชั่นมันส์ๆ เดือดๆ รอเราอยู่

อาจไม่ใช่ภาคต่อที่ดูแล้วว้าว แต่ก็จัดว่าทำออกมาได้สนุกไม่เสียชื่อภาคแรก โดยส่วนตัวมองว่าหนังแพ้ภาคแรกแค่หน่อยๆ เท่านั้นครับ ตรงที่ภาคแรกมันมีความกลมกล่อม ลงตัว แฝงความอบอุ่นกินใจเอาไว้แบบพอดีๆ แล้วก็มีอารมณ์ขันเบาๆ ผสมลงไปแบบเนียนๆ ในขณะที่ภาคนี้ดูจะเน้นไปที่การสืบสวนตามปม แล้วอารมณ์ขันก็ถูกใส่ลงมาแบบตรงๆ ไม่ได้แทรกลงมาเนียนๆ เหมือนคราวก่อน

ถ้าให้เทียบเหมือนปรุงอาหารก็ประมาณว่า ภาคแรกเหมือนค่อยๆ ต้ม ค่อยๆ ให้ส่วนผสมกลมกล่อมเข้ากันทีละน้อย จนรสชาติออกมาครบรสแบบคาดไม่ถึง และถ้าเปรียบความตลกเป็นรสหวานก็เหมือนปรุงด้วยน้ำตาลกรวด ค่อยๆ เคี่ยวไป ปล่อยให้รสหวานละลายเข้าเนื้อ ค่อยๆ ออกรสเจือไปเรื่อยๆ ส่วนภาคต่อนี่ส่วนผสมค่อนข้างชัด สืบเป็นสืบ แอ็คชั่นเป็นแอ็คชั่น หรือรสหวานนี่ก็ใช้ช้อนตักน้ำตาลทรายใส่ลงไปซึ่มๆ ใส่ปุ๊บหวานปั๊บ – ส่วนตัวไม่ได้มองว่านี่เป็นจุดด้อย แต่มองว่าเป็นจุดต่างเล็กๆ ครับ

แต่ผู้กำกับคนเดิมครับ ยังคงเป็น Gavin O’Connor คนเขียนบทก็คนเดิม Bill Dubuque ทีมงานส่วนใหญ่ก็ยกกันมา อารมณ์ของหนังโดยรวมก็เลยต่อเนื่องจากภาคแรก ส่วนความต่างก็อาจมีบ้างด้วยหลายๆ ปัจจัย แต่ก็อย่างที่บอกครับว่าหนังยังดูสนุก แค่บางอย่างภาคแรกกลมกล่อมกว่าเท่านั้น

ดูแล้วนึกถึง The Equalizer ครับ ผมว่ามาทางเดียวกันเลยนะ นี่ก็รอแค่ภาค 3 เท่านั้น ซึ่งว่ากันว่า Anna Kendrick อาจกลับมาด้วย ก็รอดูกันไปครับ – ทำให้ครบไตรภาคอีกสักชุดก็ดีเหมือนกัน อยากมีหนังไตรภาคเอามาดูซ้ำเยอะๆ ครับ ^_^

ส่วนประเด็นในเรื่องผมก็ชอบอยู่หลายอันครับ อันหนึ่งที่หนังชวนให้คิดแบบตรงๆ เลยก็คือ การที่เราต้องแหกกฎหมายเพื่อสืบหาความจริงหรือทำอะไรสักสิ่งให้สำเร็จนั้น เป็นสิ่งสมควรไหม? ซึ่งผมก็เชื่อว่าแนวคิดต่อเรื่องนี้ย่อมมีหลากหลายครับ บางคนยอมรับได้ แต่บางคนก็รับไม่ได้ ซึ่งในหนังก็คล้ายๆ จะชี้คำตอบตามมุมมของคนทำให้เราเห็นอยู่ – แต่เรื่องแบบนี้ก็ถกเถียงกันได้ไม่จบไม่สิ้นครับ

อีกอันคือตอนที่แบร็กซ์ตันถามคริสเตียนว่า “การที่นายไม่คิดถึงฉัน เป็นเพราะนายหรือฉัน?” ซึ่งผมว่าน่าสนใจดี ว่าการที่เราไม่คิดถึงใครสักคนนั้น มันเป็นเพราะตัวเราหรือเป็นเพราะตัวเขากันแน่? ถ้าเป็นที่ตัวเรามันเพราะอะไร? หรือถ้ามีต้นเหตุมาจากตัวอีกฝ่าย มันจะเพราะอะไร?

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ตระหนักจากคำถามนี้ ก็คือสายใยที่แบร็กซ์ตันมีต่อคริสเตียน คือผมว่าการที่ใครสักคนถามใครสักคนด้วยคำถามนี้ ในทางหนึ่งมันสื่อแบบตรงๆ เลยว่าฝ่ายที่ถามแคร์คนที่ถูกถามเอามากๆ – ส่วนตัวแล้วผมว่าคำถามนี้คำถามเดียว บอกเราได้เยอะเลยครับว่าแบร็กซ์ตันคิดอย่างไรกับคริสเตียนบ้าง แม้ลีลาท่าทางจะออกแนวกวนประสาทและดูโนสนโนแคร์ก็ตาม

อีกอย่างที่ชอบคือ “ทีมของจัสทีน” ครับ ดูแล้วรู้สึกน่าสนใจและดูเป็นกลุ่มที่ทรงพลังเอามากๆ ฉากที่พวกเขาขึ้นจอนี่น่าจดจำใช้ได้เลย

เอาเป็นว่า ดูได้เลยครับ ภาคนี้ยังคงดูได้เพลินๆ นั่นแหละ ถือเป็นภาคต่อที่อยู่ในกลุ่ม “ทำออกมาแล้วไม่เสียชื่อภาคแรก”

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)