Adventure

Mickey 17 (2025) มิกกี้ 17

สิ่งแรกที่ต้องบอกเลยคือหนังไม่ได้เน้นในเรื่องความบันเทิงครับ แต่จะเน้นไปในแนวไซไฟ ตลกร้าย จิกกัดเสียดสีมนุษย์และสังคมอะไรทำนองนั้น – แต่ถ้าท่านคาดหวังความสนุกสนานหรือแอ็คชั่นล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องนี้ครับ

จริงๆ แนวคิดตั้งแต่นั้นน่าสนใจครับ (ซึ่งก็มีที่มาจากนิยายที่ผมยังไม่เคยได้อ่านเหมือนกัน) เรื่องของมิคกี้ บาร์นส์ (Robert Pattinson) ที่ติดหนี้จนต้องหนีจากโลกไปเป็นมนุษย์ “ใช้แล้วทิ้ง” ที่นอกอวกาศโน่น แต่ทีนี้เรื่องมันมาวันตรงที่มิคกี้คนที่ 17 ที่ใครๆ คิดว่าตายไปแล้วดันไม่ตายครับ แล้วทางแลปก็ไม่รู้เลยผลิตมิคกี้คนที่ 18 ขึ้นมา แล้วมันดันมีกฎว่าถ้ามีมนุษย์ใช้แล้วทิ้งมีชีวิตพร้อมกันมากกว่าหนึ่ง ทั้งหมดก็จะถูกกำจัด งานนี้เลยเป็นเรื่องขึ้นมา

ตอนดูนี่ผมรู้สึกเลยครับว่าไม่ได้รู้สึก “สนุก” ในแบบบันเทิง แต่มันจะไป “สนุก” ในเชิงที่ว่า อยากรู้ว่าชะตากรรมของตัวละครแต่ละคนจะไปทางไหนต่อ เรื่องมันจะเป็นยังไงต่อ คือมันชวนให้สนใจใคร่รู้น่ะครับว่าหนังจะพาเราไปไหน แต่ก็มีแอบคิดเหมือนกันครับว่าถ้าหนังมันมีลูกเล่นในการเล่าเรื่องมากกว่านี้ มีกลิ่นอายความบันทิงเจือเพิ่มลงมาอีกหน่อย หนังน่าจะลื่นและเพลินขึ้น ซึ่งผมมองว่าผลงานเรื่องก่อนๆ ของ บงจุนโฮ (Bong Joon Ho) มันมีความสนุกแบบบันเทิงหรือไม่ก็ลูกเล่น+ลูกล่อลูกชนเคลือบอยู่ในการเล่าเรื่องนะ ไม่ว่าจะ Snowpiercer, Okja หรือ Parasite ที่มันจะไม่ใช่มีแค่ความเป็นหนังสายคุณภาพเพียงอย่างเดียว แต่มันมีความสนุกชวนดูผสมอยู่กับคุณภาพที่ว่านั้นด้วย

ผมว่าพลังสำคัญของเรื่องนี่ต้องยกให้ดาราครับ Pattinson ถือว่าทำได้ดีมาก แล้วพี่แกก็เล่นเป็นตัวมิคกี้ในหลายเวอร์ชั่นด้วย ส่วนตัวผมมองว่าเสียงบรรยานของมิคกี้ที่ทำการเล่าเรื่องให้เราฟังไปตลอดตั้งแต่ต้นจนจบนั้นคือพลังอย่างหนึ่งที่ทำให้เราอยากดูว่าเรื่องมันจะยังไงต่อไป แล้วอีกคนที่เด่นก็ต้องยกให้ Mark Ruffalo ที่เล่นได้รั่วและร้ายกาจเพิ่มสีสันให้หนังได้ดี ส่วน Toni Collette ก็ดูเยอะและน่าปวดหัวพอกัน ในขณะที่ดารารายอื่นๆ ก็ถือว่าดีครับ แต่ก็แอบแปลกใจเหมือนกันที่ไม่ค่อยรู้สึกว่าพวกเขาเด่นเท่าไร

ถ้าถามว่าชอบประเด็นไหนที่สุดในหนังก็คงเป็นเรื่องของ เคนเนธ มาร์แชลล์ (Ruffalo) นั่นแหละครับ พี่ท่านเป็นนักการเมืองที่สอบตกมาหลายสมัย พอไปไม่ถึงไหนเลยหาลู่ทางที่ตะสร้างประโยชน์ให้ตนเองได้มีอนาคต นั่นคืออาศัยแฟนๆ ที่เคารพ นับถือ และศรัทธาในตัวเขาเป็นฐาน ก่อนจะวาดโปรเจคท์ขายฝันชักจูงคนอีกจำนวนหนึ่งที่อยากไปมีชีวิตใหม่ที่ดาวอื่น (ประมาณว่าพวกเขามองว่าบนโลกไม่มีที่ทางให้พวกเขาแล้ว) ว่าง่ายๆ คือสำหรับเคนเนธแล้ว ถ้าอยู่บนโลกไม่รุ่งก็ไปสร้างเวทีใหม่ให้ตัวเองเด่นคนเดียวไปเลย (ก็ง่ายดีครับ เพราะจะได้ไม่มีคู่แข่ง 555)

แล้วสรรพโครงการที่พี่แกชวนเชื่อชาวบ้าน เอาเข้าจริงๆ ก็ทำไปเพื่อประโยชน์และความมั่นคงของตนเอง แต่ฉากหน้าน่ะฉาบเคลือบด้วยคำพูดสวยๆ วลีหรูๆ ที่บอกว่า “นี่ผมทำเพื่อทุกคนอยู่นะ” ซึ่งไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ แต่คนส่วนหนึ่งจะดูแกไม่ออก ยังไงก็จะเชื่อเคนเนธต่อไป และจะเห็นแต่ภาพสวยๆ ที่แกสร้างเอาไว้ – แต่คนที่มองออกก็มี และบางคนก็พยายามแหกด่านโค่นล้มพี่แก แต่คนที่เห็นแล้วทำเป็นไม่เห็น (อาจเพราะกลัวหรือเพราะมีประโยชน์บางอย่างร่วมกันอยู่) นี่ก็มีเหมือนกัน

บอกตรงว่าแม้นี่จะเป็นหนังไซไฟ และมีอะไรที่เว่อร์ๆ เกินจริงๆ อยู่เยอะก็ตาม แต่ประเด็นสะท้อนสังคมโลก (อย่างประเด็นของนักการเมืองอย่างเคนเนธ) นี่ไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยครับ เพราะมันมีอยู่จริงๆ บนโลกใบนี้ ทั้งคนแบบเคนเนธ (ที่โกยทุกอย่างเข้าหาตัวเองทั้งหมด), คนแบบมิคกี้ (ที่มองว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่นใดแล้ว) ไหนจะคนที่อยากจะตื่นจากฝัน, คนที่ยังงมงาย, คนที่เคยตื่นแล้ว แต่ขอไปหลับต่อเพราะยังไมพร้อมเผชิญความจริง, คนที่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่คิดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้และเปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอก ฯลฯ

คนหลากแบบนี้ เราเจออยู่ในทุกยุคทุกสมัยครับ… และมันก็คงจะมีคนเหล่านี้กลั้วผสมอยู่ในสังคมไปอีกนานแสนนานเช่นกัน – ว่าแต่จะทำใจ หรือทำอะไรสักอย่างดีล่ะนี่?

ในแง่งานสร้างก็ถือว่าใช้ได้เลยครับ คุ้มทุน $118 ล้านอยู่นะ มันให้อารมณ์ไซไฟใช้ได้อยู่

สรุปนะครับ ส่วนตัวมองว่าหนังไม่ได้เหมาะกับทุกคน ผมว่าคอหนังไซไฟน่าลองดูสักครั้ง แต่ใครที่หวังแอ็คชั่น หวังอะไรมันส์ๆ หรือเห็นหน้าหนังแล้วคิดว่ามันจะเนเนตลก ก็ต้องบอกให้เตรียมใจไว้เลยครับว่าทันไม่ได้ไไปแนวนั้น มันออกแนวไซไฟตลกร้ายเป็นหลัก ซึ่งก็ถือว่าทำออกมาได้ดีครับ แต่โดยรวมนี่ถ้าหนังมันมีรสชาติเพิ่มขึ้นอีกนิดก็คงจะอร่อยคล่องคอขึ้น

ส่วนเรื่องรายได้ก็ถือว่าไม่คุ้มทุนครับ เพราะทำไปแค่ $131 ล้านจากทั่วโลก ก็ต้องมาเก็บเพิ่มเอาตอนออกแผ่นและลงสตรีม

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)