ก่อนจะดูเรื่องนี้ ผมได้ดู Just Go with It ที่พี่ Adam Sandler เล่นกับ Jennifer Aniston แล้วผมก็ออกแนวเรื่อยๆ ไม่ได้ชอบอะไรมาก ก็เดาว่าผมคงไม่ทางสำหรับหนังเรื่องนั้น – ครั้นพอมาดูเรื่องนี้ อันเป็นหนังที่ทำรายได้น้อยกว่าเรื่องนั้นแบบคนละลีค (เรื่องนั้นได้ทั่วโลกไป $200 กว่าล้าน ส่วนเรื่องนี้ $2 ล้านยังไม่ถึงเลยครับ) อีกทั้งคำชมก็ดูเหมือนจะน้อยกว่าเรื่องนั้น แต่กลายเป็นว่าผมโอเคกับหนังเรื่องนี้แฮะ
หนังออกแนวโรมิโอแอนด์จูเลียตเวอร์ชั่นอัพเดตครับ ตัวเอกคือ ลีโอ แคมโปลี่ (Hayden Christensen) กับ นิคกี้ แองจิโอลี่ (Emma Roberts) ทั้งสองสนิทกันตั้งแต่เด็กเพราะพ่อแม่ของพวกเขาเปิดร้านพิซซ่าร่วมกัน แต่อยู่มาวันหนึ่งจู่ๆ พ่อของพวกเขาก็ทะเลาะกันแบบไม่มองหน้ากันอีกเลย แล้วก็แยกตัวกันไปเปิดร้านพิซซ่าของตัวเอง ทำให้ลีโอและนิคกี้ต้องห่างกัน ยิ่งนิคกี้ตัดสินใจไปใช้ชีวิตที่อื่น พวกเขาก็ยิ่งห่างกันไปใหญ่
แต่แล้วนิคกี้ก็กลับมาเยี่ยมบ้านครับ พวกเขาเลยได้เจอกันอีกครั้ง แล้วก็ตามสูตรครับ ความรักของพวกเขามันก็เริ่มก่อตัวจนได้
หนังอาจไม่ได้สุดเจ๋งหรือลงตัวอะไรมากมายนะครับ แต่ผมว่าหนังมันน่ารักน่ะ มันตอบโจทย์ง่ายๆ สำหรับหนังรอมคอม คือพระเอกนางเอกน่ารักดี เคมีไปกันได้ ดูแล้วสัมผัสได้ว่าพวกเขากำลังมีความรู้สึกดีๆ ให้กันทีละน้อย บวกด้วยเหล่าตัวละครสมทบที่มักจะแอบขโมยซีน ไม่ว่าจะคาร์โล (Danny Aiello) กับฟรังก้า (Andrea Martin) ผู้เฒ่าและแม่เฒ่าของ 2 ครอบครัวที่แอบรักกัน, ดอร่า (Alyssa Milano) กับอเมเรีย (Linda Kash) 2 คนนี้ก็ซี้กัน และแสนจะเบื่อที่สามีของพวกเธอเอาแต่ทะเลาะกันอยู่ได้ และยังมีลุยจิ (Andrew Phung) เจ้าของบาร์ที่ลีโอไปทำงาน รายนี้ก็คอยให้กำลังใจผองเพื่อนไม่ว่างเว้น – ดารากลุ่มนี้ก็ชูรสเพิ่มความอร่อยให้หนังได้ไม่น้อย
อย่างต่อมาที่เข้าตาคืองานภาพครับ หนังถือว่าถ่ายภาพได้สวยทีเดียว ไม่ว่าจะภาพทิวทัศน์สวยๆ ในเมือง, ภาพต้นไม้เขียวขจีที่อยู่กลางเมืองหรือกลางหมู่บ้านของพวกตัวเอก หรือภาพในร้านพิซซ่าของทั้ง 2 ครอบครัวต่างก็ดูน่ารัก แฝงความอบอุ่นไว้ อันนี้ต้องขอชม ผู้กำกับภาพ Thom Best เลยครับ ถือว่าทำงานได้ดีทีเดียว (เขาเคยมีผลงานกำกับภาพให้หนังสยองว่าด้วยสองพี่น้องที่เป็นมนุษย์หมาป่า – Ginger Snaps ครับ)
การเดินเรื่องก็ถือว่าเรื่อยๆ อาจมีช่วงเฉื่อยๆ บ้าง แต่ก็ได้พลังดารานี่แหละครับมาช่วยไว้ แต่หนังจะมาแผ่วเยอะหน่อยตอนท้ายๆ ตอนที่อะไรๆ เริ่มขมวดปมจน 2 ครอบครัวต้องมาแข่งทำพิซซ่ากัน ช่วงนี้ดูจะจงใจมากไปหน่อยจนแอบรู้สึกว่าไม่ค่อยเป็นธรรมชาติเท่าไร แต่พอดูจนจบก็เข้าใจแหละครับว่ามันต้องมีฉากการแข่งขันเพื่อเปิดโอกาสให้ “หนึ่งตัวละคร” ได้แสดงความในใจออกมาผ่านการกระทำ – ก็คือรู้แหละว่าฉากนี้มันต้องมี เพียงแต่การเชื่อมเรื่องมาถึงจุดนี้มันอาจยังไม่เนียนนัก
อีกอย่างคือผมว่าบทยังสื่อความรู้สึกภายในใจของตัวละครได้ไม่มากพอครับ ไม่ว่าจะความสับสนของลีโอที่ก่อนหน้านี้ชอบทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัย (ซึ่งจริงๆ ก็เป็นผลจากการจากไปของนิคกี้) หรือความสับสนของนิคกี้ ไม่ว่าจะเรื่องครอบครัว เรื่องงาน หรือเรื่องความสัมพันธ์ – ถ้าอะไรเหล่านี้ชัดขึ้นหนังคงถึงรสมากขึ้นน่ะครับ
แต่โดยรวมหนังถือว่าน่ารักครับ ดูสนุกดี ซึ่งผมก็เอามาเปิดดูตอนกลางวัน หลังทำงานเสร็จครับ ก็กะจะผ่อนคลายสักหน่อย พอได้ดูก็รู้สึกผ่อนคลายสมใจ แม้หนังจะไม่ถึงกับถูกใจไปทั้งหมด แต่ก็ถือว่าถูกใจเป็นส่วนใหญ่ล่ะ
และอย่างหนึ่งที่อยากให้สังเกตคือจะมีฉากที่นิคกี้สวมเสื้อสีแดงที่สกรีนคำว่า “A slice of heaven” ซึ่งนั่นเป็นเสื้อสีเดียว แบบเดียว สกรีนเดียวกับที่ Julia Roberts (ซึ่งเธอก็คือป้าของ Emma) เคยใส่ในหนัง Mystic Pizza และผู้กำกับหนังเรื่องนั้นก็คือ Donald Petrie ที่กำกับหนังเรื่องนี้ด้วยน่ะครับ เลยมีบางคนมองว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก Petrie อาจตั้งใจใส่ลงมาเพื่อระลึกถึงหนังเรื่องนั้น แต่ก็มีแฟนหนังบางคนเชื่อมไปไกลถึงขนาดมองว่าหนังเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นเลยก็มี – ก็ว่ากันไปครับ
อีกหนึ่งเกร็ดที่อยากเล่าก็คือ มีข่าวลือครับ ว่าระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนี้ ปรากฏว่า Roberts กับ Christensen เกิดปิ๊งปั๊งกันจริงๆ ขึ้นมา แม้จะไม่มีการยืนยันแบบชัดเจนก็ตาม แต่ที่แน่ๆ คือข่าวลือนี้ถูกกระพือหนักขึ้นเมื่อ Rachel Bilson แฟนสาวที่คบหากับ Christensen มานานตัดสินใจจบความสัมพันธ์ ว่ากันว่าเพราะเธอดันไปเห็นข้อความที่ Roberts กับ Christensen ส่งถึงกัน จนเธอตัดสินใจจบความสัมพันธ์ในที่สุด
กลับมาเรื่องหนังนะครับ ก็สรุปว่าหนังออกแนว Feel Good เป็นรอมคอมเบาสมองที่ดูได้เพลินๆ สนุกดี
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)
หมวดหมู่:Comedy, Feel-Good Movies, Movie Reviews, Romance, Romance Romance, Romantic Comedy












