หนังคนคุกเรื่องนี้ ถือว่ามีดีน่าดู อีกทั้งดาราแต่ละคนก็แสดงฝีมือกันเต็มที่ โดยเฉพาะพี่คนนี้ครับ… Val Kilmer
ถ้าให้นิยามหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นว่า “มันคือ The Shawshank Redemption ฉบับโลกไม่ค่อยสวย” ตัวเอกคือ เวด พอร์ตเตอร์ (Stephen Dorff) ที่กำลังพยายามสร้างอนาคตกับคนรัก (Marisol Nichols) ที่มีลูกชายตัวน้อยๆ ให้เขาหนึ่งคน แต่ในคืนหนึ่งเกิดมีโจรเข้ามาขโมยของในบ้าน เขาพลั้งมือทำร้ายโจรรายนั้น จนส่งผลให้เขาต้องระเห็จเข้าไปอยู่ในเรือนจำ
เวดต้องเจอวิบากกรรมสารพัด ทั้งจากเพื่อนนักโทษด้วยกันและผู้คุมอย่างแจ็คสัน (Harold Perrineau) ที่ดูจะไม่มีความปรานีให้เขาเลย และถ้าถามว่ามีมิตรภาพในเรือนจำไหม คำตอบคือมี แต่มิตรภาพส่วนใหญ่มักมาพร้อมราคาค่างวด เป็นมิตรฝ่ายนั้นก็จะต้องเป็นศัตรูฝ่ายนี้ ไม่ทำเขาเขาก็ทำเรา เรียกว่าชีวิตของเวดใกล้คำว่า “นรกทั้งเป็น” มากขึ้นทุกทีๆ – แต่แล้วอะไรๆ ก็ทำท่าจะเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้เพื่อนร่วมห้องขังคนใหม่ นามว่า จอห์น สมิธ (Kilmer)
ก่อนดูเรื่องนี้นี่หนังจัดว่านอกสายตาครับ คิดว่าเป็นหนังลงแผ่นเกรดรองทั่วไปแบบที่เห็นมานักต่อนัก แต่พอได้ดูเท่านั้นแหละแทบจะอุทานเลยว่า “เฮ้ย นี่มันของดีนี่หว่า”
ผมจะไม่บอกว่าหนังเรื่องนี้มันสุดเยี่ยมสุดยอดนะครับ เพราะความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่สำหรับผมนี่ หนังเรื่องนี้จัดว่าดีและได้ใจ อย่างแรกเลยต้องยกให้ดาราที่แม้จะไม่ใช่ระดับแม่เหล็ก แต่พวกเขาก็เล่นได้สมบท อย่าง Dorff นี่ก็ดูเป็นคนดีจริงๆ แต่ขณะเดียวกันเขาก็ไม่ใช่เทพบุตร ไม่ใช่เทวดาครับ คือก็มีด้านมืด มีจุดเจ็บ หรือความอดทนก็มีขีดจำกัดเหมือนกัน ดังนั้นสิ่งหนึ่งที่แอบลุ้นระหว่างดู คือลุ้นว่าตัวละครเวดนี่จะเข้าสูด้านมืดไหม หรือถ้าเข้าแล้วจะสามารถออกมาได้ไหม
หนังเรื่องนี้ฉายภาพให้เราเห็นว่าคุกสามารถเปลี่ยนคนได้ยังไงบ้าง ซึ่งที่บอกว่า “เปลี่ยนคน” นี่ไม่ใช่แค่นักโทษเท่านั้นนะครับ แต่บางทีแม้แต่คนที่ทำงานในแดนเหล่านี้ก็อาจได้รับผลกระทบที่ส่งผลต่อความคิดหรือจุดยืนได้เหมือนกัน ซึ่งจุดนี้ก็ต้องชมเรื่องบทครับ จัดว่าเขียนมาดีเลยล่ะ ดีทั้งในแง่เนื้อหาที่สะท้อนโลกหลังลูกกรง, สะท้อนมิติของคน ทั้งที่อยู่หลังลูกกรง หน้าลูกกรง และนอกลูกกรง ซึ่งในแง่ของข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรอันนี้ก็ไม่อาจทราบได้ครับ แต่หากว่ากันถึงความเป็นหนังคนคุกสักเรื่อง หนังเรื่องนี้สะท้อนอะไรเหล่านี้ได้ดีกว่าหนังแนวเดียวกันอีกหลายเรื่อง
แล้วบทยังดีในแง่ของการเล่าเรื่องราวที่ชวนให้เราติดตาม ชวนให้เราอยากรู้ว่ามันจะพาเราไปทางไหน เวดจะต้องเจอกับอะไร หรือใครในเรื่องจะตัดสินใจไปทางไหน แล้วที่ชอบมากคือบทสนทนาในเรื่องครับ คือผมจะไม่บอกว่ามันสมจริงนะ คือจริงๆ มันอาจไม่สมจริงเลยก็ได้ แต่มันเป็นบทสนทนาที่มีประเด็น เป็นบทสนทนาที่ทำให้เราเข้าใจตัวละคร ทำให้เราเห็นจุดเชื่อมระหว่างเรื่องต่างๆ และที่สำคัญคือเป็นบทสนทนาที่ไม่น่าเบื่อ ไม่ยืดเยื้อ และไม่เยิ่นเย้อ – ผมถึงบอกไงครับว่า ผมจะไม่บอกว่ามันสมจริง เพราะจริงๆ มันอาจเป็นบทสนทนาที่ดูเป็นหนังมากกว่า แต่ผมชอบครับ เพราะมันสื่อสารอะไรๆ ได้ชัด ทำให้ผมอยากติดตามดูหนังต่อไปเรื่อยๆ
ยอมรับเลยครับว่าเวลาดูหนังแต่ละเรื่องนี่ ผมจะแอบลุ้นนะ นอกจากลุ้นเรื่องความดี ความสนุก ความมันส์แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมลุ้นมากคือฉากที่ตัวละครคุยกัน คือลุ้นว่ามันจะน่าสนใจไหม เพราะหลายเรื่องนี่ฉากคุยกันมันไม่มีแก่นสาร มันไม่น่าสนใจ บางเรื่องนี่ดูแล้วรู้เลยครับว่าใส่ฉากตัวละครคุยกันเพื่อยืดหนังให้ครบเวลา แต่การสนทนาเหล่านั้นไม่ได้มีผลต่อหนังเลย คือจริงๆ ตัดฉากนั้นออกไปก็ได้ – แต่ไม่ใช่กับเรื่องนี้ครับ บอกเลยว่าหนังเรื่องนี้ยาวประมาณ 1 ชั่วโมงกับ 40 กว่านาที แต่ความน่าติดตามนั้นถือว่ามีตลอด แต่ละฉากจะมาพร้อมอะไรบางอย่างเสมอ ไม่เล่าเรื่องก็สะท้อนตัวละคร
อันนี้ขอชม Ric Roman Waugh เลยครับ เขาทั้งกำกับและเขียนบทหนังเรื่องนี้ (เป็นงานเขียนบทหนังชิ้นที่ 2 และงานกำกับชิ้นที่ 3) ซึ่งผมยกให้งานชิ้นนี้คืองานที่เด็ดสุดของเขา (จนถึงตอนนี้) เลยครับ และไม่แปลกใจที่มันจะเป็นงานแจ้งเกิดที่กรุยทางให้เข้าได้มากำกับหนังอย่าง Snitch (ที่เดอะ ร็อคเล่น) ต่อด้วย Angel Has Fallen, Greenland และ Kandahar (3 เรื่องนี้ Gerard Butler แสดงนำแบบเหมาเข่งครับ)
และหนังเรื่องนี้มีเค้าโครงการเหตุการณ์จริงครับ เป็นเหตุที่เกิดในยุค 90 ที่คุกแห่งหนึ่งในแคลิฟอร์เนียซึ่ง Waugh ก็ได้เอาเค้าโครงนั้นมาสานต่อเป็นภาพยนตร์เรื่องนี้
แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังเครียดอยู่นะครับ คือภรรยาผมนี่ดูตอนต้นแล้วออกตัวเลยว่าขอไปดูการ์ตูนกับลูกดีกว่า ดังนั้นผมมองว่าหนังเรื่องนี้คงเฉพาะกลุ่มอยู่เหมือนกัน และบอกเลยว่าใครไม่ชอบหนังเครียด หรือตอนไหนยังไม่พร้อมจะดูหนังตึงๆ ก็อย่าเพิ่งดูดีกว่าครับ เดี๋ยวจะไปกันใหญ่
ในเรื่องนี่ตัวละครแต่ละตัวจะมีโมเมนต์ของตัวเองครับ เรียกว่าเด่นเฉลี่ยเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเวด ตัวเอกของเรื่อง, ลอร่า ภรรยาของเวดที่ต้องแบกรับอะไรหลายอย่างเมื่อเวดไปติดคุก จนพอเข้าใจในหลายๆ การตัดสินใจของเธอเลย
Perrineau ในบทแจ็คสันก็น่าจดจำครับ คือเขาเป็นพัสดีที่โดนอะไรมาเยอะ เจออะไรมาเยอะจนมันหลอมรวมกลายเป็นอคติที่มีต่อนักโทษ ผมชอบที่หนังนำเสนอให้เราเห็นทั้งด้านดีและด้านมืดของเขา ทำให้รู้สึกว่าเขาก็คือมนุษย์ปุถุชนนั่นแหละ และส่วนหนึ่งที่เขาดูเป็นตัวร้ายสำหรับหนัง มันก็เพราะผลจากการที่โดนโลกกระทำ โดนคนไม่ดีกระทำจนตัวเองโดนด้านมืดเข้าครอบงำ
ผมชอบตัวละคร คอลลินส์ (Nate Parker) ผู้คุมหน้าใหม่ที่เพิ่งมาทำงาน รายนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงคนดีที่ไม่แพ้ให้กับอำนาจมืดง่ายๆ ซึ่งผมว่าเขาต้องใช้ความพยายามและอดทนมากเลยนะ ที่จะไม่โดนกลืนกินกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบที่เสื่อมทราม หรือตัวละครอย่างโรเบิร์ตส์ (Nick Chinlund) เพื่อนของแจ็คสัน รายนี้ก็แสดงได้ดีอีกเช่นกันครับ คือดูแล้วเชื่อน่ะว่าเขาเองก็ไม่ได้เลวเต็มร้อย ซึ่งบทนี้นี่เรียกว่าคนละเรื่องกับที่เขาเคยแสดงเป็นนักโทษจอมโหดใน Con Air เลยครับ เรื่องนั้นนี่คือรายจริงอะไรจริง แต่เรื่องนี้เขาทำให้ผมเชื่อได้ว่าเขาร้าย แต่ไม่ได้ร้ายแบบสุดลิ่ม
แล้วก็ถึงเขาคนนี้ครับ Val Kilmer ส่วนตัวผมว่าบทนี้เป็นบทที่เท่ห์มากนะ เพราะตัวละครนี้คือนักโทษที่ผ่านอะไรมาเยอะจนเห็นสัจธรรม เห็นสิ่งต่างๆ ทะลุอย่างที่มันเป็น ดูแล้วก็ออกแนวเหมือนบทหลวงจีนหอไตรที่กวาดลานวัดใน 8 เทพอสูรมังกรฟ้า น่ะครับ ออกแนวนั้น – แต่ยังไม่เหนือโลกเท่าขั้นนั้น – ซึ่งพี่ Val ก็ทำให้ผมเชื่อน่ะครับ ว่าจอห์น สมิธคนนี้เป็นคนมีของ หลายอย่างที่เขาพูดนี่เอามาปรับใช้ในชีวิตได้เลยนะ
และผมชอบรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของตัวละครนี้ คือในหนังนั้นระหว่างที่เรื่องดำเนินไป ผมอยากให้ท่านลองสังเกตท่าทีของจอห์นให้ดีครับ คือเราจะเห็นท่าทีของเขาในการตอบสนองกับเรื่องต่างๆ หลายฉากเลยตอนที่หนังเน้นไปที่ตัวละครอื่น แต่หากท่านสังเกตตัวละครนี้ดีๆ ท่านจะเห็นอะไรบางอย่าง – จุดนี้ยอมรับเลยครับว่าพี่ Val เขาเล่นได้เข้าถึงไม่ใช่น้อย – จนอยากเห็นภาคแยกที่เล่าเรื่องราวก่อนหน้าของเขาเลยครับ มันต้องมีอะไรน่าสนใจแน่ๆ
เท่าที่ทราบมาคือพี่ Val ทุ่มเทในการเล่นบทนี้มากๆ เขาค้นคว้าแง่มุมต่างๆ เกี่ยวกับบทนักโทษแบบ “หนักมาก” โดยเขาเลือกที่จะไม่ถ่ายทอดบทนี้แบบเกินจริง ไม่ได้ทำให้ตัวละครนี้ดีแบบเหนือโลก แต่อยากให้ตัวละครนี้ดูติดดิน รวมถึงต้องการให้คนดูสัมผัสได้ถึงความบอบช้ำที่ตัวละครนี้เคยได้รับมาผ่านทางการแสดงออก หรือกระทั่งรอยสักบนตัวจอห์น สมิธ พี่ Val ก็ไปค้นคว้ามาเช่นกันว่าเหล่านักโทษที่ได้รับโทษหนักๆ (เช่น โทษตลอดชีวิต) เขาจะสักกันแบบไหน มันสื่อความหมายว่าอะไร และทุกวันเขาจะต้องนั่งบนเก้าอี้เป็นชั่วโมงๆ เพื่อสร้างรอยสักเหล่านั้นขึ้นมา
และเมื่อพูดถึงบทจอห์น สมิธก็ต้องพูดถึงบทกอร์ดอนด้วย รายนี้คือผู้คุมที่กลายมาเป็นเพื่อนกับจอห์น ซึ่งดารารุ่นเก๋าอย่าง Sam Shepard ก็ถ่ายทอดบทนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม คือดูแล้วรู้เลยน่ะครับว่ามิตรภาพระหว่างเขากับจอห์นนั้นมันเป็นอะไรที่ลึกล้ำ เหมือนต่างฝ่ายต่างเข้าใจกันและกัน โดยไม่ต้องพูดอะไรให้มากความ
สำหรับผมแล้ว หนังเรื่องนี้อยู่ในข่ายดีครับ – จริงๆ คือดีมากเลยล่ะ – ดูแล้วชอบ ดูแล้วสนุกเพลิน และได้แง่คิดสำหรับเอาไปใช้ในการตำรงชีวิตในโลกความจริง ที่บางทีก็มีมุมโหดร้าย มีมุมไม่น่ารัก หรือบางเรื่องก็เปราะบางเสียเหลือเกิน ซึ่งการจะรับมือกับแต่ละสิ่งในโลกหล้านั้น ก็ต้องใช้กระบวนท่าที่แตกต่างกันไป บางอย่างต้องเอา “หนัก” เข้าใส่ แต่บางอย่างก็ต้องใช้ “อ่อน” เข้ารับ
อีกอย่างคือ คนทั้งหลายที่ว่ายเวียนอยู่บนโลกนี้ บางคนก็โดนโลกกลืนกิน คือเปลี่ยนแปลงไปตามสิ่งแวดล้อมที่เข้ามาจัดกระทำต่อชีวิต เป็นฝ่ายถูกเปลี่ยนให้แปรไปตามสรรพสิ่งที่ผ่านเข้ามากระทบ – “ดีหรือร้ายขึ้นกับโลก แต่ไม่ได้ขึ้นกับเรา”
หรือบางคนเป็นฝ่ายกลืนกินโลก คือไม่โดนสิ่งแวดล้อมและประสบการณ์ในชีวิตกลืน แต่เป็นฝ่ายกลืนสิ่งเหล่านั้น นำมันมาย่อยพิจารณา เรียนรู้จากมัน และเป็นฝ่ายเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้น ให้กลายเป็นสิ่งที่มาสร้างความแข็งแกร่งและก้าวหน้าให้กับชีวิต – “ดีร้ายขึ้นกับเรา ไม่ได้ขึ้นกับโลก”
ผมไม่รับประกันว่าทุกท่านจะชอบหนังเรื่องนี้ครับ อย่างภรรยาผมนี่ก็ถอยไปแล้วหนึ่ง แต่ผมชอบก็คงต้องขอบอกว่าชอบ เห็นว่าดึก็ต้องบอกไปตามใจคิด
เอาเป็นว่าใครชอบหนังคนคุก ก็อยากให้ลองดู อ้อ ต้องบอกก่อนนะครับว่าสำหรับฉากบู๊นั้น มันก็มีนะ แต่มันจะไม่ใช่การบู๊ที่ออกท่าสวยงามอะไร แต่มันจะเป็นการต่อสู้กันแบบตะลุมบอน แบบต่อยกันข้างถนน แบบสู้เพื่อเอาตัวรอด ดังนั้นใครคาดหมายว่าหนังจะบู๊แล้วมันส์แบบพวกหนังพี่ Sylvester Stallone ล่ะก็ คงต้องขอให้ปรับใจไว้หน่อยครับ
สามดาวสถานเดียวครับ
(8/10)
หมวดหมู่:Action, Drama, Highly Recommended Movies, Movie Reviews, Thriller













