Action

Apache (1954)

เรื่องราวของ มาไซ (Burt Lancaster) นักรบชนเผ่าอาปาเช่คนสุดท้ายที่ไม่ยอมก้มหัวให้คนขาว อันนำมาสู่การตามล่าทั้งจากคนขาวและคนเผ่าอาปาเช่ที่ผันตัวไปเข้ากับฝ่ายคนขาว

ตัวหนังออกมาในแนวดราม่าว่าด้วยชีวิตของนักรบอินเดียนแดงผู้ไม่ยอมแพ้ครับ แต่หนังจะไม่ได้เน้นแอ็คชั่นอะไรมาก ว่ากันจริงๆ คือระหว่างทางหนังมีฉากบู๊อยู่ไม่กี่ฉาก และฉากที่บู๊กันแบบเต็มตัวก็ปาเข้าไปตอนท้าย ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าทำออกมาได้ดี ดูแล้วรู้เลยว่านักแสดงและทีมงานทุ่มเทกับฉากเหล่านี้มาก ดังนั้นถ้าพูดถึงฉากแอ็คชันก็ต้องถือว่าเวิร์คอยู่ครับ

แต่ทีนี้ส่วนใหญ่หนังจะใช้เวลาไปกับการที่มาไซหลบหนีการไล่ล่า การได้พบกับคนต่างเผ่าที่ให้มุมมองใหม่ๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างคนขาวและคนอินเดียนแดง แล้วก็ตามด้วยการโดนคนเผ่าเดียวกันหักหลัง ซึ่งหนังก็สะท้อนให้เห็นมุมที่หลากหลายอยู่ครับ ทำให้เราเห็นทั้งด้านดีและด้านไม่ดีทั้งของคนขาวและคนอินเดียนแดง ซึ่งในเชิงข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นนั้นไหมก็ต้องว่ากันอีกที แต่อันนี้คือผมมองจากสิ่งที่หนังนำเสนอให้เห็นน่ะนะครับ

ในทางหนึ่งหนังก็ทำให้เราเห็นถึงความป่าเถื่อนของคนขาวที่ได้ชื่อว่ามีความศิวิไลซ์ แต่ในขณะเดียวกันคนขาวที่ดีๆ ที่มีเหตุผลก็ยังพอมี เช่นเดียวกับคนอินเดียนแดงที่มีทั้งที่รักศักดิ์ศรี จนถึงขั้นยอมตายเพื่อศักดิ์ศรี แต่รายที่ยอมโอนอ่อนเข้ากับฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าอย่างคนขาวก็มีเช่นกัน ซึ่งหนังก็สะท้อนประเด็นนี้ผ่านตัวละคร ฮอนโด อดีตนักรบอาปาเช่ที่กลายมาเป็นนายทหารแทน (บทนี้แสดงโดย Charles Bronson ครับ)

ขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่คนขาวทำก็ใช้จะมีแต่เรื่องไม่ดี บางสิ่งก็ช่วยส่งเสริมคุณภาพชีวิตบางประการให้ดีขึ้น อย่างวัฒนธรรมการเพาะปลูกพิชที่สามารถพลิกชีวิตคนอินเดียนแดงบางเผ่าให้สามารถตั้งรกรากได้และมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น – ในทางหนึ่งหนังก็เหมือนสอนให้เราเห็นถึงการประนีประนอมน่ะครับ ไม่ว่าจะการประนีประนอมระหว่างบุคคลหรือประนีประนอมทางวัฒนธรรมก็ตาม

แต่สิ่งหนึ่งเลยที่ผมดูแล้วได้จากหนังคือ การที่หนังสะท้อนให้เห็นถึงการทำอะไรด้วยอารมณ์ การใช้โทสะหรือความโกรธเป็นเครื่องนำทาง หรือไม่ก็การทำอะไรอย่างแบบสุดโต่งจนเกินไป อะไรเหล่านี้อาจนำพาชีวิตเราให้พบเจอกับปัญหาหรือทางตันได้ – การทำอะไรด้วยสติและปัญญาจึงเป็นอะไรที่ควรระลึกถึงอยู่เสมอ

จะว่าไปผมก็ได้อะไรจากหนังเยอะอยู่ คือในเชิงแง่คิดและสาระนี่ถือว่าหนังมีอะไรให้เก็บไปคิดอยู่ไม่น้อย – แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็คงต้องแล้วแต่มุมมองด้วยน่ะนะครับ เพราะสำหรับบางท่านก็อาจมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นการนำเสนอเรื่องราวจากมุมมองของคนขาวเสียมาก บางสิ่งบางอย่างเลยดูจะมองคนอินเดียนแดงในเชิงลบอยู่บ้าง อันนี้ก็ขึ้นกับมุมมองและวิจารณญาณของแต่ละคนด้วยครับ

ครับ หนังให้อะไรมาคิดพอสมควร ซึ่งผมชอบตรงประเด็นพวกนี้นะ แต่หากว่ากันถึงตัวหนังแล้ว ก็คงต้องบอกว่าหนังยังไม่เพลินแบบเต็มที่ ยังไม่สนุกหรือลุ้นแบบเต็มขั้น บางช่วงก็อาจจะเรื่อยๆ ไปบ้าง หรืออย่างตอนครึ่งหลังหนังก็ดูจะเทน้ำหนักให้กับเรื่องราวระหว่างมาไซกับนาลินเน่ (Jean Peters) ซะเยอะ ซึ่งก็พอเข้าใจครับว่าหนังอยากให้เราเห็นถึงสายใยระหว่างพวกเขา แต่จังหวะการเล่าเรื่องส่วนนี้มันยังดูเรื่อยๆ ไม่ชวนติดตามแบบเต็มๆ สักเท่าไร

สำหรับผมโดยรวมเลยมองว่าหนังอยู่ในระดับกลางๆ ครับ มีดีตรงประเด็นชวนให้คิด แต่ในแง่การเดินเรื่อง หรือความตื่นเต้นน่าติดตามก็ถือว่ายังไม่มาก

หนังดัดแปลงจากนิยาย Broncho Apache ของ Paul Wellman และที่สำคัญคือหนังมีการดัดแปลงตอนจบของเรื่อง ที่หากเป็นในนิยายแล้วมันจะจบอีกแบบหนึ่ง แต่สำหรับฉบับหนังนี่ทั้งผู้สร้างและค่าย United Artists ต่างก็เห็นว่าหนังควรจบแบบ Happy Ending มากกว่า ซึ่งผู้กำกับ Robert Aldrich นั้นไม่เห็นด้วย เขาเลยถ่ายทำฉากจบออกมา 2 แบบ และในท้ายที่สุดทางผู้สร้างก็เลือกตอนจบแบบแฮปปี้ครับ

หนังจัดว่าทำเงินครับ ทำไปราว $10 ล้านในอเมริกาและแคนาดา จากทุนสร้างราว $1.2 ล้สน

สำหรับตำนานเรื่องจริงของมาไซนั้น ว่ากันว่าหลังจากที่เจเรอนิโมยอมจำนนให้กับฝ่ายคนขาวแล้ว ตัวมาไซเองก็ไม่ยอมและหลบเร้นไปจริงๆ ว่ากันว่าเขาไปใช้ชีวิตอยู่แถบชายแดนเม็กซิโก ก่อนจะไปอยู่แถบเทือกเขาเซียร์รามาเดร แต่สำหรับเหตุการณ์ในวันสุดท้ายของชีวิตเขานั้น ก็ยังไม่มีใครทราบเรื่องราวที่แท้จริงมาจนถึงทุกวันนี้

สรุปว่าหนังจัดว่าน่าลองสำหรับคอหนังตะวันตกครับ แต่อาจต้องเผื่อใจไว้หน่อยเพราะความสนุกอาจไม่ได้มากอะไร แต่ที่หนังโอเคส่วนหนึ่งก็เพราะการแสดงของ Lancaster และ Peters นั่นแหละ

สองดาวครับ

(6/10)