Crime

Gorky Park (1983) คดีดังหลังม่านเหล็ก

ศพ 3 ศพถูกพบในสวนสาธารณะกลางกรุงมอสโก ใบหน้าของทุกศพถูกลอกออก ทำให้หัวหน้าฝ่ายสืบสวน อาร์คาดี้ เรนโค่ (William Hurt) ต้องตามล่าหาความจริงว่า 3 คนนี้คือใคร และใครคือฆาตกร

ก็ถือเป็นหนังสืบสวนยุค 80 ที่ทำออกมาได้ดีทีเดียวครับ พลังสำคัญของหนังคือการแสดงของเหล่าดาราที่ไว้ใจได้เรื่องฝีมือ ไม่ว่าจะ Hurt ในบทนำ, Richard Griffiths ในบทแอนทอน เพื่อนซี้ของอาร์คาดี้, Brian Dennehy ในบท วิลเลี่ยม เคอวิลล์ ที่คอยตามสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ จนอาร์คาดี้สงสัยว่าหมอนี่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับคดี

ตามด้วย Lee Marvin ในบท แจ็ค ออสบอร์น นักธุรกิจอเมริกันที่ดูจะมีลับลมคมใน, Joanna Pacula ในบท อิริน่า สาวน้อยที่ดูจะรู้อะไรมากกว่าที่เธอบอก และรายที่น่าจดจำมากๆ ต้องยกให้ Ian McDiarmid ที่หลายคนคงจำได้จากบทจักรพรรดิพัลพาทีนแห่ง Star Wars มาเรื่องนี้แสดงเป็น ศาสตราจารย์แอนดรีฟ ที่สามารถใช้วิทยาการช่วยคืนใบหน้าให้กับแต่ละศพได้ – บุคลิกแปลกๆ ของตัวละครนี้ถือว่าเป็นชูรสชั้นดีให้กับหนังก็ว่าได้

แม้เหตุการณ์ตามท้องเรื่องจะเกิดที่มอสโก แต่ก็แน่นอนว่าทีมงานตอนนั้นยังไม่สามารถเข้าไปถ่ายที่นั่นได้ เลยต้องยกกองไปถ่ายกันที่สวีเดนและฟินแลนด์แทน ซึ่งก็เนรมิตฉากต่างๆ ให้ได้อารมณ์มอสโกในระดับหนึ่ง และอีกหนึ่งของดีก็คือดนตรีของ James Horner ที่ให้อารมณ์เขย่าขวัญเย็นยะเยือกได้เหมาะกับอารมณ์ของหนังเป็นอย่างยิ่ง และผมชอบดนตรีตอน End Credits ครับ มันเป็นการส่งท้ายอารมณ์ระทึกๆ ของหนังได้อย่างพอดีเลย

ตัวหนังก็ถือว่าเล่าได้โอเคครับ คือมันก็มีช่วงที่เรื่อยๆ เอื่อยๆ บ้างแหละ แต่โดยรวมจัดว่าน่าติดตาม เพราะดารารับส่งพลังกันได้ดีอย่างหนึ่งล่ะ แล้วตัวพล็อตจริงๆ ก็น่าสนใจอยู่แล้วด้วย เพียงแต่บางช่วงก็แอบอืดอย่างที่บอก อย่างตอนกลางๆ ที่อิริน่าไปอยู่กับอาร์คาดี้ ช่วงนี้ออกแนวยืดและอืดพอสมควร เข้าใจว่าช่วงนี้คงตั้งใจปูพื้นเรื่องราวความโรแมนติกระหว่าง 2 ตัวละครนี้น่ะครับ แต่มันออกจะเป็นการปูที่เชื่องช้าไปสักหน่อยเท่านั้นแหละ

แต่ก็ยังดีครับที่ตอนฉากลุ้นๆ ฉากระทึกๆ หนังเล่าได้อารมณ์อยู่ อย่างตอนที่อิริน่าโดนไล่ล่านั่นก็ทำออกมาได้ชวนลุ้นดี หรือการตั้งสมมติฐานสางคดีของอาร์คาดี้ในตอนต้นก็ถือว่าชวนให้คิดตาม เช่นว่าการฆ่าเกิดในสวนสาธารณะ แต่ทำไมไม่มีคนได้ยินเสียงปืนหรือได้ยินอะไรเลยล่ะ อะไรแบบนี้เป็นต้น หรือตอนที่อาร์คาดี้บรรยายภาพเหตุการณ์ตอนวันเกิดเหตุ ฉากนั้นการลำดับเรื่องและการเล่าก็ถือว่าระทึกปนหดหู่ไม่น้อย

กระนั้นมันก็มีบ้างครับที่บางอย่างก็แอบเอ๊ะแอบสงสัยโดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ซึ่งหนังอาจเล่าแบบรวบรัดไปหน่อย สงสัยถ้าอยากรู้รายละเอียดคงต้องหยิบหนังสือมาอ่าน ซึ่งผมก็น่าจะดองไว้ที่ไหนสักแห่งในห้องหนังสือนี่แหละครับ 555 ซื้อมากองดองไว้หลายปีเลย เดี๋ยวคงต้องหาให้เจอเพราะอยากรู้เหมือนกันว่าตัวนิยายต้นฉบับสนุกนั้นจะสนุกแค่ไหน – แต่ก็แอบเสียดายครับที่บ้านเราแปลนิยายชุดนี้ออกมาไม่ครบ (รู้สึกจะมี 10 เล่ม)

สำหรับเกร็ดที่นำมาฝากนั้นก็เริ่มจากตอนแรกคนที่จะมาเล่นเป็นอาร์คาดี้นั้น ก็มี Dustin Hoffman และ Robert Redford มาเข้าชื่ออยู่ครับ แต่พอดี Hoffman ตอนนั้นไม่ว่าง ส่วน Redford นั้นทางผู้สร้างมองว่าอิมเมจของเขาอาจไม่เหมาะกับบทนี้ บทเลยตกมาสู่ Hurt

ส่วนบทแจ็ค ออสบอร์น ตอนแรกก็มีการทาบทามให้ Burt Lancaster มาเล่น แต่ด้วยปัญหาสุขภาพเขาเลยต้องบอกปัดไปครับ นอกจากนี้ผู้กำกับที่ถือเป็นตัวเลือกแรกของหนังก็คือ John Schlesinger แห่ง Midnight Cowboy แต่ในที่สุด Michael Apted ที่ตอนนั้นกำลังดังจาก Coal Miner’s Daughter ก็ได้มารับหน้าที่แทน

โดยรวมก็จัดเป็นหนังสืบสวนหลังม่านเหล็กที่ทำออกมาได้น่าพอใจครับ อาจยังไม่ถึงขั้นเด็ดสุดๆ และมีช่วงช้าๆ บ้าง แต่ด้วยการแสดงดีๆ ก็นำพาให้หนังน่าติดตามไปได้เรื่อยๆ จนจบครับ – แต่ในแง่รายได้แล้วหนังถือว่าไม่เข้าเป้านัก เพราะทำเงินราว $15 ล้าน จากทุนสร้างราว $15 ล้าน ก็ถือว่าเข้าเนื้อครับ

… อันนี้ขอบันทึกเพิ่มไว้หน่อย… คือ อยากจะบอกว่า พอเขียนรีวิวเสร็จแล้วมานั่งนึกถึงหนัง มันก็ใจหายเหมือนกันนะครับ เพราะ ณ เวลาที่ผมเขียนอยู่นี้ เหล่าดาราและทีมงานส่วนใหญ่ต่างก็ไม่อยู่แล้ว ไม่ว่าจะ Hurt, Marvin, Dennehy, Griffiths, ผู้กำกับ Apted, คอมโพเซอร์ Horner, Dennis Potter คนดัดแปลงจากนิยายมาเป็นบทภาพยนตร์ รวมถึงผู้กำกับภาพ Ralf D. Bode ที่นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังฝากฝีมือไว้กับ Saturday Night Fever, Dressed to Kill, The Accused และ Don Juan DeMarco… นาทีนี้นี่ผมรู้สึกหวิวเลยครับ ใจหายจริงๆ… ขอแสดงความเคารพและรำลึกถึงทุกท่านมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)