นี่คือภาพยนตร์ว่าด้วยสายสัมพันธ์ระหว่างคนและสัตว์ที่ทำออกมาได้ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่งครับ
เนื้อเรื่องเล่าคร่าวๆ ได้ประมาณว่ามีเด็กคนหนึ่งที่ชื่อ อเล็ค แรมซีย์ (Kelly Reno) โดยสารเรือมาพร้อมกับพ่อ (Hoyt Axton) แล้วบนเรือนั้นอเล็คก็ได้เจอกับม้าสีดำตัวหนึ่งที่ทำท่าพยศซะจนคนดูแลยังเอาแทบไม่อยู่ แล้วทีนี้ในคืนหนึ่งเรือเกิดเหตุไฟไหม้ ส่งผลให้อเล็คและเจ้าม้าตัวนั้นลอยมาเกยฝั่งบนเกาะเดียวกัน ซึ่งตอนแรกพวกเขาก็ยังไม่กล้าเข้าใกล้กันหรอกครับ ต้องรอไปสักพักสายใยระหว่างหนึ่งเด็กน้อยกับหนึ่งม้าจึงจะเริ่มก่อตัว
เล่าแค่นี้นะครับ ที่เหลือไปดูต่อกัน ซึ่งก็บอกได้เลยครับว่าใครชอบหนังแนวนี้ก็ควรลองชมสักครั้งครา เพราะหนังทำออกมาได้ดีครับ ดูสนุก ชวนติดตาม ซึ่งหนังนั้นดัดแปลงมาจากหนังสือของ Walter Farley ครับ ว่ากันว่าตอนแรก Farley ก็กลัวเหมือนกันว่าผู้กำกับ Carroll Ballard จะสามารถบอกเล่าเรื่องราวโดยรักษาแก่นสำคัญของหนังสือไว้ได้ไหม แล้วพอหนังสำเร็จออกมา Farley ก็เอ่ยปากชมเลยครับว่า Ballard สามารถถ่ายทอดเรื่องราวออกมาได้ดีมากๆ และตัวหนังยังมีเอกลักษณ์ในแบบของตัวเองอีกด้วย
หนังใช้เวลาถ่ายทำราวๆ 2 ปีครับ กว่าจะเสร็จออกมาได้ ซึ่งจุดที่โดดเด่นมากๆ ของหนังนอกจากการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายแต่น่าติดตามไปจนจบแล้ว งานภาพก็ออกมายอดเยี่ยมซึ่งผู้กำกับภาพก็คือ Caleb Deschanel ผู้อยู่เบื้องหลังผลงานอย่าง The Right Stuff, The Patriot และ The Passion of the Christ ซึ่งผมยกนิ้วให้เลยครับ งานภาพในเรื่องนี้นี่จัดว่าโดดเด่นมาก มีความเป็นธรรมชาติ สวยงาม องค์ประกอบในแต่ละฉากมันดึงดูดสายตาผู้ชมได้อย่างพอเหมาะ บางฉากอย่างตอนอเล็คเดินฝ่าพงหญ้าไปตามหาเจ้าม้าแบล็คตอนกลางเรื่องนี่แม้มันจะดูง่ายๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ด้วยการวางช็อตของ Deschanel ก็ทำให้ฉากง่ายๆ ที่ว่านี้ดูงามขึ้นมาได้อย่างน่าปรบมือ
ผู้กำกับ Ballard ยังเคยเล่าด้วยครับว่า Deschanel นี่ทุ่มเทกับงานมาก และช่วยเขาให้ผ่านช่วงเวลายากๆ มาได้หลายครั้ง อย่างครั้งหนึ่งระหว่างการถ่ายทำ ปรากฏว่าจู่ๆ ก็มีน้ำหลาก ไหลมาเป็นสายราวกับแม่น้ำเลยครับ ทีนี้พวกเขาก็ต้องข้ามไปให้ได้ – Deschanel เลยบอกให้ Ballard ขึ้นขี่หลังเขาได้เลย เขาจะแบก Ballard ข้ามไปเอง ซึ่งนั่นทำให้เขาซึ้งใจมาจนถึงทุกวันนี้
หนังยาวราวๆ 2 ชั่วโมงครับ แต่มันดูเพลินและลื่นไหลมากๆ สำหรับผมนี่ไม่รู้สึกว่าหนังน่าเบื่อเลย เพราะสถานการณ์ในเรื่องมันชวนให้เราสนใจตามดูไปตลอด คือยิ่งดูมันยิ่งอยากรู้น่ะครับว่าชีวิตของอเล็คและเจ้าม้าแบล็คนี่จะผกผันไปทางไหนต่อ พวกเขาจะต้องเจออะไรบ้าง ส่วนหนึ่งคงเพราะหนังทำให้เราแคร์พวกเขาได้สำเร็จน่ะครับ เลยอยากเอาใจช่วยให้พวกเขาเจอแต่คนดีๆ และเรื่องดีๆ
แต่ในแง่หนึ่งหนังก็อาจจะออกแนว “โลกสวย” สำหรับคนยุคใหม่อยู่เหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่ในหนังนี่จะเต็มไปด้วยคนดีๆ มีแต่คนที่มีความรับผิดชอบ แล้วก็คอยช่วยอเล็คกับเจ้าม้าน่ะครับ ดังนั้นผมถือว่าหนังออกแนว Feel Good นะ เพราะดูแล้วสบายใจ ได้พลังบวก แต่ขณะเดียวกันหนังก็อาจดู “ไม่สมจริง” สำหรับบางท่านก็เป็นได้ (ประมาณว่านำเสนอแต่มุมดีๆ ไม่ค่อยมีมุมมืดของชีวิตอะไรแบบนั้นน่ะครับ)
ดาราก็ถือว่าเล่นได้ดีครับ ตัวนำเลยคือ เจ้าหนู Kelly Reno ที่อาจไม่ถึงกับยอดฝีมือมากๆ แต่ก็ถือว่าเล่นได้ดี ผมชอบเวลาที่เขาจะพูดอะไรสักอย่างแต่ในใจก็ยังกลัวๆ หรือไม่แน่ใจน่ะครับ ผมว่าลักษณะการออกเสียงของเขามันดู “ไม่แน่ใจจริงๆ” เลยพูดบ้างหยุดบ้าง กระท่อนกระแท่นบ้าง คือมันดู “จริง” น่ะครับ (ในความคิดผมน่ะนะครับ)
ส่วนรายอื่นก็ถือว่าเล่นได้ดีตามที่บทเปิดโอกาส ไม่ว่าจะ Mickey Rooney ในบท เฮนรี่ เดลี่ย์ ชายชราที่ตอนหลังได้มาผูกสัมพันธ์กับอเล็คและเจ้าม้าแบล็ค, Teri Garr เป็นแม่ของอเล็ค, Clarence Muse มาเป็น สโน ชายชราอีกคนที่มาดและท่าทางของเขามันให้อารมณ์เหมือนเป็น “เทวดา” ที่คอยช่วยเหลืออเล็คน่ะครับ โดยเฉพาะซีนแรกที่พวกเขาเจอกันนี่มันได้อารมณ์นั้นจริงๆ และ Axton ที่หลายคนน่าจะจำได้จากบทพ่อของพระเอกใน Gremlins มาเรื่องนี้ก็มาเป็นพ่อของพระเอกอีก และเขาก็เล่นได้ดีเหมือนเดิม
ผมไม่ได้บอกว่าหนังมันสุดยอดสมบูรณ์แบบนะครับ มันก็ต้องมีบ้างแหละที่ดูดร็อปๆ หรืออ่อนๆ บ้างในบางช่วง แต่โดยรวมหนังถือว่าเล่าเรื่องได้พอเหมาะ ไม่เร็วไปและไม่อืดไป และดนตรีถือเป็นอะไรที่เสริมพลังให้หนังได้เป็นอย่างดีครับ ซึ่งก็เป็นฝีมือของ Carmine Coppola พ่อของ Francis Ford Coppola ที่อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้นี่แหละ
พูดถึง Francis Ford Coppola แล้วก็บอกได้เลยครับว่าถ้าไม่มีเขาผู้นี้ หนังเรื่องนี้จะไม่มีทางได้คลอด เพราะ Coppola นี่แหละที่โทรไปหา Ballard ตอนตี 3 ซึ่งพวกเขาเรียนที่ UCLA มาด้วยกันครับ และ Coppola ก็อยากร่วมงานกับ Ballard สักหน เลยส่งหนังสือ The Black Stallion (ที่ถือเป็นวรรณกรรมเยาวชน) มาให้ Ballard ลองอ่าน
ว่ากันว่าตอนแรก Ballard ไม่ได้สนใจที่จะทำเลยครับ เพราะใจเขาอยากทำหนังยิ่งใหญ่ๆ เอพิคๆ แบบ War and Peace มากกว่า แต่พอเขาได้อ่านและตกผลึกกับมันไปสักพัก เขาก็ตระหนักครับว่าหนังสือเด็กเล่มนี้มีพลังอยู่ภายใน จุดที่เขาชอบมากๆ คือธีมหลักของหนังสือที่พูดถึงความปรารถนาลึกๆ ของเด็กหลายๆ คนที่อยากมีเพื่อนที่มีความพิเศษสักคน ที่สามารถแบ่งปันความพิเศษนั้นมาสู่ตัวเขา และทำให้เขามีพลังทำในสิ่งที่มหัศจรรย์ – มันคือการผจญภัยแบบที่เด็กหลายคนใฝ่ฝันถึง
ทีนี้ไฟเริ่มมาแล้วครับ Ballard มีความสนใจที่จะทำแล้ว และ Coppola ก็พร้อมสนับสนุน แต่ดันเกิดเหตุไม่คาดฝัน ระหว่างที่ Coppola กำลังถ่ายทำ Apocalypse Now อยู่ที่ฟิลิปปินส์นั้น ดันเกิดพายุไต้ฝุ่นถล่มกองถ่ายจนย่อยยับ ข้าวของเครื่องใช้และฉากพังไม่เหลือดี และปัญหาใหญ่ก็คือ พวกเขาไม่เหลือทุนพอที่จะถ่ายทำให้เสร็จ Coppola กับทีมงานเลยต้องยกกองกลับกันมาก่อน
และในที่สุด เพื่อให้ได้เงินทุนมาอีกก้อน พวกเขาเลยจำใจต้องขายบทหนัง The Black Stallion ให้ค่าย United Artists เพื่อแลกเป็นทุนสำหรับถ่ายทำ Apocalypse Now
แล้วชะตากรรมว่าหนังเรื่องนี้จะได้สร้างหรือไม่ก็ตกอยู่ในมือเหล่าผู้บริหารค่าย UA ซึ่งปรากฏว่าไม่มีใครใน UA ชอบบทหนังเรื่องนี้เลย เรียกว่าพวกเขาต้องเจอแรงต้านสารพัด แต่ Coppola ก็สวมวิญญาณหัวหมู่ทะลวงฟัน ดันหนังเรื่องนี้เต็มที่ จน Ballard ยังพูดว่าถ้าไม่มี Coppola หนังเรื่องนี้ก็จะไม่มีทางได้สร้างแน่นอน
ระหว่างการถ่ายทำทีมงานก็ต้องเจอกับอุปสรรคสารพัดครับ อย่างเรื่องสภาพอากาศที่แปรปรวนนี่ก็เรื่องหนึ่งล่ะ เพราะฉากส่วนใหญ่ในหนังจะเป็นสถานที่ตามธรรมชาติซึ่งบางครั้งก็กะเกณฑ์อะไรไม่ได้เลย อย่างฉากที่อเล็คต้องเผชิญหน้ากับงู ฉากนั้นขึ้นจอแค่ไม่กี่นาที แต่ตอนถ่ายทำนี่ทำเอาทีมงานแทบหมดแรงข้าวต้ม เพราะฉากนั้นถ่ายกันริมหาดใช่ไหมครับ แต่ปรากฏว่าช่วงที่พวกเขาถ่ายทำนี่อากาศมันหนาว ส่งผลให้งูไม่เคลื่อนตัวตามที่ทีมงานต้องการ ทีมงานก็ต้องมาหาทางทำให้ทรายแถบนั้นอุ่นให้ได้
ยังไม่พอครับ กลายเป็นว่าแถบนั้นมีลมแรงอีก ซึ่งฉากที่อเล็คเจอกับงูเนี่ย เพื่อความปลอดภัยก็ต้องเอากระจกมากั้นกลางระหว่างเด็กกับงู แต่พอลมแรงมันก็เลยทำให้กระจกตั้งแทบไม่อยู่ พานจะล้มทับทีมงานเอา ไหนทรายจะโดนลมพัดจนฟุ้งกระจายอีก เรียกว่ากว่าจะถ่ายฉากนี้ได้ทำเอาทีมงานเหนื่อยไปตามๆ กัน – นี่แค่ตัวอย่างนะครับ ยังมีวิบากในอีกหลายเหตุการณ์ทีเดียว
หลังจากผ่านสารพัดอุปสรรคมาได้ หนังถ่ายทำเสร็จ กลายเป็นว่า UA ไม่ยอมนำหนังออกฉายอีก แล้วก็ดองหนังอยู่เป็นปี เพราะหลายฝ่ายในค่ายคาดว่าหนังต้องเจ๊งแน่ บางคนถึงกับประชดว่า “นี่มันหนังอะไรของคุณ หนังอาร์ทสำหรับเด็กหรือไง? ใครจะไปดู?” ซึ่งในที่สุดก็ต้องพึ่งหัวหมู่ทะลวงฟัน Coppola คนเดิมมาช่วยดันหนังเรื่องนี้อีกรอบ จนในที่สุดหนังก็ได้ฉาย
แล้วหนังทุน $4.5 ล้านที่หลายฝ่ายคาดกันว่าต้องเจ๊งแน่ๆ ก็ทำเงินไปถึง $38 ล้าน – ใช่ครับ หนังอย่างฮิต! ส่งผลให้มีภาคต่อตามมาอีกต่างหาก
สรุปอีกทีครับว่า หนังเรื่องนี้ถือว่ามีดีน่าดู และอยากให้ได้ลองกันสักครั้งครับ
สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ
(7.5/10)
หมวดหมู่:Adventure, Drama, Family, Feel-Good Movies, Inspirational Movies, Movie Reviews, Recommended Movies, Sport













