Action

Top Gun (1986) ท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า

ชีวิตนี้ผมดู Top Gun เพียง 2 รอบครับ รอบแรกคือเมื่อสมัยวัยรุ่น ตอนนั้นตามหาสารพัดหนังดังๆ เอามาดูตามประสาคอหนัง ครั้นดูแล้วก็เฉยๆ ครับ ไม่ได้ชื่นชอบอะไรมากมาย และผมเดาว่าคงไม่มีการเอามาดูรอบที่ 2 แน่ๆ หากไม่มีการทำภาคต่อ Top Gun ออกมาล่ะก็

ใช่ครับ ผมดูรอบ 2 ก็เพื่อเก็บรายละเอียดก่อนดู Top Gun: Maverick และผลลัพธ์หนนี้ก็ไม่ต่างจากรอบแรกเท่าใดนัก คือดูแล้วรู้สึกเรื่อยๆ ครึ่งแรกนี่สารภาพเลยว่ารู้สึกนิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมาเริ่มรู้สึกว่าหนังน่าติดตามก็ตอนครึ่งหลัง เมื่อตัวละครหนึ่งประสบกับชะตากรรมแล้วก็ส่งผลต่อมาเวอริค (Tom Cruise) พระเอกของเรื่อง ทำให้เขาเสียศูนย์และทำท่าจะหมดอาลัย ก่อนที่เขาจะค่อยๆ รวบรวมสติกลับมายืนหยัด และควบเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้ง

ในแง่งานสร้างถือว่าโอเคครับ ผู้กำกับ Tony Scott คุมส่วนต่างๆ ของหนังได้โอเค ลีลามุมกล้องอันเร่งเร้าของเขาถือเป็นเครื่องหมายการค้าที่น่าจดจำ แต่ก็ยอมรับครับว่าฉากบนท้องฟ้านั้นก็แอบสับสนงงๆ บ้างว่าลำไหนเป็นลำไหน อาจเพราะผมตามภาพเครื่องในเรื่องไม่ค่อยทันเลยทำให้อารมณ์ร่วมตามหนังอาจไม่มากนัก เลยพลอยทำให้ความเพลินของผมลดลงไปด้วย

ส่วนเนื้อเรื่องบนพื้นก็ว่าด้วยตัวเอกที่ขยันทำตัวเท่ห์ ขยันพิสูจน์ตัวเอง และขยันโปรยเสน่ห์ใส่สาว ซึ่งก็ถือเป็นสูตรอย่างหนึ่งครับ และสูตรที่ว่านั้นก็ถูกใช้ในเรื่องนี้แบบครบตามขนบ ซึ่งผมโอในช่วงที่ว่าด้วยมาเวอริคกับกูส (Anthony Edwards) นะครับ ดูแล้วเชื่อว่าพวกเขาซี้กัน ส่วนโซนโรแมนติกระว่างมาเวอริคกับชาร์ลี (Kelly McGillis) ก็ดูเป็นการปิ๊งตามบทครับ ยังไม่ถึงกับอินอะไร แต่ก็ข้อดีของฉากโรแมนซ์ระหว่างพวกเขาก็คือ เราจะได้เห็นอีกมุมของมาเวอริค อย่างตอนเปิดใจคุยเรื่องของพ่อ

สาระจากหนังที่ผมได้ก็คือการรู้จักควบคุมตนเองครับ มาเวอริคเป็นคนที่ใช้ชีวิตค่อนข้างแรง ทำอะไรตามความห้าวและเชื่อมั่นแบบเกินร้อย ซึ่งมันอาจนำมาได้ทั้งผลร้ายและผลดี ซึ่งมันก็เหมือนกับชีวิตของคนเรานี่แหละครับ ถ้าจะให้ดีก็ควรใช้ชีวิตบนทางสายกลาง รู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้ว่าตอนไหนควรเร่งรู้ว่าตอนไหนควรช้า รู้ว่าตอนไหนควรเผชิญหน้าและรู้ว่าตอนไหนควรหลบหลีก

วิธีที่ดีที่สุดในการคุมสถานการณ์ ต้องเริ่มจากการคุมตัวเองนี่แหละ

ไปๆ มาๆ จุดที่ผมชอบในการดู Top Gun ก็คือการได้ย้อนไปดูภาพลักษณ์แห่งยุค 80 ทั้งภาพลักษณ์ความเป็นหนังและภาพลักษณ์ที่สะท้อนเอาบรรยากาศจริงๆ ในโลกยุค 80 มาให้เรามองเห็นผ่านเลนส์ ซึ่งผมชอบอะไรแบบนี้ครับ

การได้ย้อนเวลาไปเที่ยวชมบรรยากาศเมื่อวันวาน บรรยากาศ ณ ขณะหนึ่งของโลก – โดยส่วนตัวผมมองว่าหนังก็คือไทม์แมชชีนครับ เป็นเครื่องย้อนเวลาที่พาเราไปเห็นอดีต ถ้าเราเคยเป็นส่วนหนึ่งของมัน มันก็จะมาสะกิดความทรงจำและความรู้สึกบางอย่างที่อาจจะหลบซ่อนอยู่ในตัวเรา หรือถ้าเราไม่เคยสัมผัสยุคนั้นมากับตัว เราก็จะได้บรรยากาศในหนังนี่แหละครับ ที่พาเราไปลองสัมผัส บางครั้งผมว่ามันจะมอบไอเดียบางอย่างให้ หรือไม่ก็แง่คิดดีๆ ที่เราสังเกตได้ (อาจจะสังเกตจากสิ่งที่ยุคนั้นมีแต่ยุคนี้ไม่มี – หรือยุคปัจจุบันมีแต่ยุคก่อนไม่มี) นำมาเสริมประโยชน์ให้กับวิธีการใช้ชีวิตของเรา

หนังโกยเงินสวยงามแบบสุดๆ ลงทุน $15 ล้าน แต่โกยรอบโลกไป $357 ล้าน ฮิตถล่มทลายครับ

ก็ถือเป็นหนังที่น่าลองครับ ท่านๆ ส่วนใหญ่น่าจะชอบกันนั่นแหละ ส่วนผมคงเป็นคนส่วนน้อยที่ดูไป 2 รอบแต่ก็ยังรู้สึกเรื่อยๆ คือมันก็ดูได้เพลินๆ นั่นแหละ แต่ยังไม่ถึงขั้นชอบหรือโดนใจอะไร คงไม่ใช่หนังสำหรับผมน่ะครับ ซึ่งผมมองว่าเป็นเรื่องธรรมดานะ มันต้องมีกันมั่งแหละที่เราดูหนังที่คนเขาชอบๆ กันมากๆ แต่เรากลับเฉยๆ – แต่ผมอยากให้มองในมุมที่ว่า ไม่ว่าจะชอบหรือเฉย แต่อย่างน้อยเราก็ต่างเคยผ่านประสบการณ์การดูหนังเรื่องนี้มาแล้วเหมือนกัน ^_^

และที่รู้แน่ๆ อีกอย่างก็คือ ต่อให้ผมใส่แว่นเรย์แบนรุ่นล่า ยังไงก็ไม่เท่ห์เท่าเฮีย Tom ยุคโน้นหรอกครับ 555

สองดาวกว่าๆ ครับ

(6.5/10)