Drama

The Closet (2020) ตู้นรก ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด

ชายคนหนึ่งพาลูกสาวย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ แต่แล้วก็เกิดเรื่องแปลกๆ มากมายจนในที่สุดลูกสาวของเขาก็หายตัวไป เขาพยายามออกประกาศตามหาอยู่นานนับเดือนแต่ก็ไม่มีข่าวคราว แล้วจู่ๆ ก็มีหมอผีมาหาเขาพร้อมบอกถึงสาเหตุการหายตัวไปของลูกเขา และดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับตู้ที่อยู่ในห้องของเธอนั่นแหละ

แง่คิดสำคัญสำหรับหนังเรื่องนี้ก็คือ ถ้าท่านย้ายเข้าไปอยู่บ้านหลังใหม่ แล้วลูกคุณดันไปเจอตุ๊กตา แล้วเขาทำท่าชอบมันมากๆ ไม่ว่าสภาพมันจะดูเก่าแค่ไหนก็ตาม คำแนะนำตรงๆ จากใจเลยก็คือ รีบเผ่นออกจากบ้านนั้นครับ ทันทีเลย ให้ไว ย้ายไปค้างที่อื่นมันวันนั้นเลยครับ ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว เพื่อสวัสดิภาพของท่านและครอบครัว ไม่งั้นเดี๋ยวเรื่องยาวไม่รู้ด้วยนะเอ้า

หนังก็ชวนให้นึกถึง Poltergeist มาบวกกับ Insidious ครับ ช่วงต้นก็ปูพื้นให้เราเห็นความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกที่ไม่ค่อยจะดีนัก (แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น พวกเขาต้องประสบกับเรื่องเศร้ากันมาก่อน) จากนั้นก็ค่อยๆ ฉายให้เห็นถึงความลี้ลับในบ้านซึ่งก็ถือว่าเรื่อยๆ ครับ ซึ่งผมน่ะมันผ่านหนังแนวนี้มาเยอะจนไม่ค่อยจะสะดุ้งสะเทือนอะไร แล้วก็เดาว่าถ้าท่านเป็นคอหนังสยองที่ผ่านมาหลายร้อยหลายพันเรื่องเหมือนผมก็คงไม่สะดุ้งสะเทือนอะไรมากเหมือนกัน เพราะส่วนใหญ่ผีก็จะหลอกด้วยท่ามาตรฐาน เช่นมาเป็นเสียง แต่พอตัวละครตามไปดูต้นกำเนิดเสียงก็จะไม่เจออะไร หรือไม่ก็ฉากล่อหลอกให้เราคิดว่าผีจะแฮ่ตรงนี้ แต่พอตัวละครหันไปก็ไม่เจออะไร แล้วผีค่อยมาแฮ่ทีหลัง อะไรประมาณนี้น่ะครับ

สำหรับผมเลยรู้สึกเรื่อยๆ ครับ คือดูได้ แต่ก็เดาทางได้เช่นกัน แต่กระนั้นก็ไม่ถึงขั้นน่าเบื่อ อย่างน้อยดาราก็แสดงกันได้ดี และการเล่าเรื่องก็พอจะชวนให้ติดตามอยู่บ้าง แล้วช่วงท้ายก็ถือว่าเข้าทางผมอยู่ นั่นคือมีการต้องทะลุมิติไปเจอผีในโลกอื่น ซึ่งผมน่ะชอบอยู่แล้วล่ะครับ มันสนุกดีที่ได้เห็นจินตนาการของคนทำว่าวาดภาพมิติวิญญาณออกมาแบบไหน แต่กับเรื่องนี้ภาพมิติที่เห็นก็ยังไม่ถึงขั้นจับใจได้โล่ห์เท่า Insidious ภาคแรกๆ หรอกครับ

ระหว่างดูนี่ความคิดก็ผุดขึ้นมาน่ะนะครับ ว่าในเรื่องความเชื่อเรื่องผีสางและโลกหลังความตายนั้น ต่างพื้นที่ก็ต่างความเชื่อกันไป แล้วยิ่งมาเป็นหนังนี่บางทีแม้จะมาจากชาติเดียวกันแต่คนทำก็ยังมีมุมมองที่ต่างกัน ดังนั้นท่านจะอินกับหนังไหม ครึ่งหนึ่งคนเล่าก็ต้องเล่าให้ถึง ส่วนอีกครึ่งก็อยู่ที่ท่านว่าจะเชื่อตามที่เขาเล่าไหม ซึ่งสำหรับเรื่องนี้ในแง่แนวคิดก็พอเข้าใจได้ครับ (หนังมีการอ้างอิงถึง ฝ่า 7 นรกไปกับพระเจ้า ด้วย) แต่ถ้ามองในแง่ความน่ากลัวก็ถือว่ากลางๆ ยังไม่สุด ยังไม่หลอนถึงขนาด และถ้าจะพิจารณาตามกฎ กติกา มารยาทของผีที่หมอผีในเรื่องเล่าแล้ว มันก็แอบมีคำถามในบางตอนเหมือนกัน – จุดนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้รู้สึกว่าหนังยังไม่สุดครับ เพราะบางเรื่องนี้แม้จะดูไปเอ๊ะไปก็เถอะ แต่ถ้าหนังหลอนมากพอเราก็จะะลืมๆ คำถามที่เอ๊ะไปเองนั่นแหละ 555

เอาเป็นว่าคนชอบหนังสยองแนวผีๆ ก็ดูเรื่องนี้ได้ครับ ขอเพียงไม่คาดหวังและไม่คิดมากก็น่าจะโอเคอยู่ แล้วหนังไม่ยาวด้วยครับแค่ 1 ชั่วโมงครึ่งเอง

ส่วนผมก็อย่างที่บอกครับ ดูได้แบบเรื่อยๆ มองว่าหนังออกมากลางๆ แต่ถ้าถามว่าชอบอะไรที่สุดนี่ ผมกลับชอบบทพากย์ของบ้านเรานะ ชอบตรงบทสวดไล่ผีของหมอผีน่ะครับ คือมันฟังดูเรียบๆ ง่ายๆ แต่ตรงประเด็น ฟังดูเป็นทั้งบทสวดและการท่องเพื่อตั้งหลักตั้งสติเวลาเจอกับผีน่ะครับ ก็มองว่าขลังดีเหมือนกัน เผื่อเจอผีจะนำไปใช้บ้าง น่าจะช่วยตั้งหลังและเรียกพลังได้ดี (แม้ในหนังจะได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบ้างก็เถอะ) – หรือจะเอาไปประยุกต์ใช้ตอนชีวิตเจอปัญหารุมล้อมก็ไม่เลวเหมือนกันแฮะ

อีกอย่างที่มักเจอเสมอยามดูหนังผีเกาหลีก็คือ มันมักจะสอดแทรกเรื่องเชิงดราม่าหรือสะท้อนสังคมลงไปเป็นกำไรคิดเสมอ อย่างเรื่องนี้ผีก็มีปมครับ เกี่ยวกับเรื่องครอบครัวและการเลี้ยงดู มันก็สื่อตรงๆ น่ะนะครับว่าบางทีรอยแผลที่ใครสักคนได้มาจากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูมานั้น มันสามารถส่งผลร้ายถึงขั้นทำลายชีวิตของเด็กคนนั้น หรือไม่ก็ทำให้เด็กผู้นั้นต้องกลายมาเป็นปัญหาของสังคม สร้างความเดือดร้อนให้ใครต่อใครในเวลาต่อมา

พอคิดถึงตรงนี้ผมก็คิดเลยไปอีก นึกถึงพวกหนังผีกัดสมัยก่อนที่พอผีไปกัดใครแล้วคนนั้นก็จะกลายเป็นผี แล้วก็จะมีการกัดต่อๆ กันไปจนเชื้อแพร่กระจายไปทั่ว ถ้าจะมองแบบแทนค่าเชิงสัญลักษณ์มันก็มองได้น่ะนะครับ ว่าถ้าเปรียบ “คนที่เป็นผี” ให้เท่ากับ “คนที่มีปัญหา” มันก็จะเท่ากับคนที่มีปัญหาหนึ่งคนจะสามารถแพร่ปัญหาไปสู่คนอื่น แล้วจากคนอื่นก็จะไปสู่คนอื่น สู่คนอื่นๆ ต่อๆ กันไป ส่งผลสืบเนื่องแพร่กระจายไป – สังคมที่ดูวุ่นวายทุกวันนี้ มันเป็นเพราะอย่างนี้หรือเปล่า?

ดังนั้นแม้นี่จะเป็นหนังผี แต่แง่คิดก็ใช้ได้นะครับ – ไม่ว่าผีหรือคนที่โดนทำร้ายมาในวัยเยาว์ ก็สามารถสร้างผลเสียให้กับคนในสังคมได้ทั้งสิ้น มันก็กระตุ้นเตือนให้คนเป็นพ่อเป็นแม่เป็นผู้ปกครองได้ลองตรองคิดน่ะนะครับ ว่าสิ่งที่ตนกระทำ (หรือไม่ทำ) ต่อลูกนั้น มันย่อมมีผลที่ตามมาเสมอ… จะดี-ไม่ดีส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับเรานั่นแหละ

ระหว่างที่พิมพ์นี้ก็แอบถอนใจนะ เพราะแม้จะพยายามบอกให้คนเก็บไปคิดแค่ไหน แต่ผมว่าคนที่จะคิดน่ะก็คือคนที่มักจะคิดอยู่แล้ว ในขณะที่คนที่ไม่คิดเนี่ย เขียนให้ตายบอกให้ตายยังไงก็จะไม่คิดเหมือนเดิม ยังคงใช้ชีวิตไปบนเส้นทางเดิมที่สร้างปัญหาและภาระให้สังคมอยู่เนืองๆ – การมีอยู่ของคนแบบนี้ ผมว่าสยองกว่าผีอีกนะ

สองดาวพอได้ครับ

(6/10)