เกิดเหตุสังหารโหดในอาคารแห่งหนึ่ง โดยผู้ลงมือได้ใช้ปืนฆ่าคนไปถึง 11 ศพก่อนจะลงมือปลิดชีพตนเอง แล้วหนึ่งในภรรยาของผู้ตายก็ได้เป็นโจทก์ฟ้องบริษัท วิสเบิร์ก ไฟร์อาร์ม ที่ผลิตปืนที่ใช้ในการสังหารโหดครั้งนี้โดยมี เวนเดล รอห์ (Dustin Hoffman) เป็นทนายฝ่ายโจทก์ แต่ฝ่ายบริษัทปืนที่โดนฟ้องก็ไม่ยอมง่ายๆ ครับ ได้ว่าจ้างให้ แรนกิน ฟิตช์ (Gene Hackman) มาช่วยทำทุกวิถีทางที่จะทำให้ลูกขุนยอมหันมาช่วยฝ่ายของตน
แต่ท่ามกลางการฟ้องร้องก็ได้มีตัวละครใหม่โผล่เข้ามาในเกม นั่นคือ นิโคลัส อีสเตอร์ (John Cusack) ชายที่ทำท่าเหมือนไม่อยากเป็นลูกขุน แต่แท้จริงมันมีอะไรมากกว่าที่เห็น
สำหรับผม นี่เป็นหนึ่งในหนังที่ดูสนุกแห่งยุค 2000 เลยครับ มันมีองค์ประกอบดีๆ อยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นหนังที่สร้างจากนิยายของ John Grisham ดังนั้นโดยโครงสร้างเนื้อหามันจึงมีความแน่นในระดับหนึ่ง แล้วก็บวกด้วยทีมดารามืออาชีพที่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะ Hoffman, Hackman, Cusack หรือ Rachel Weisz จริง แค่ 4 คนนี้ก็เอาอยู่แล้วครับ แล้วหนังยังได้ดาราสมทบระดับเจ๋งอย่าง Bruce Davison, Bruce McGill, Jeremy Piven, Stanley Anderson และ Cliff Curtis อีก หนังเลยดูเพลินเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนผู้กำกับก็คือ Gary Fleder แห่ง Kiss the Girls, Don’t Say a Word และ Impostor ซึ่งส่วนตัวแล้วผมยกให้หนังเรื่องนี้เป็นผลงานเด็ดของเขานะ ตัวหนังเดินหน้าแบบเร่งเครื่องครับ ใช้ความฉับไวรวดเร็วเป็นหลัก คล้ายสไตล์ของ Tony Scott ใน Enemy of the State แต่ก็ต้องบอกว่าฟุตเวิร์กและลีลาของ Fleder อาจยังไม่เด็ดหรือครบเครื่องเท่า Scott น่ะนะครับ แต่ผลที่ได้ออกมาก็ต้องถือว่าอยู่ในขั้นดี มีความน่าติดตามและความระทึกแทรกลงมาเป็นพักๆ เรียกว่าใครชอบดูหนังสไตล์ขึ้นโรงขึ้นศาลบวกความระทึกแบบ Grisham ล่ะก็ เรื่องนี้น่าจะไม่ผิดหวัง
สำหรับเบื้องหลังการสร้างหนังเรื่องนี้นั้น จริงๆ โปรเจคท์น่ะเริ่มเดินเครื่องมาตั้งแต่ปี 1997 ครับ ตอนนั้น Edward Norton จะมาแสดงนำ และผู้กำกับก็คือ Joel Schumacher (ที่เคยกำกับหนังจากนิยายของ Grisham ไป 2 เรื่อง ได้แก่ The Client และ A Time to Kill) รวมถึงมีการแคสให้ Sean Connery และ Gwyneth Paltrow มาร่วมแสดงด้วย แต่ในที่สุด Schumacher ก็โบกมือลาครับ งานสร้างเลยค้างเติ่ง ส่งผลให้ดาราแต่ละคนหันไปแสดงเรื่องอื่นแทน
แล้วปี 2001 โปรเจคท์ก็เดินเครื่องอีกหนโดยมี Will Smith รับบทนำประกบ Jennifer Connelly และกำกับโดย Mike Newell (Four Weddings and a Funeral และ Donnie Brasco) แต่พอ Smith ตบเท้าออก งานสร้างเลยชะงักอีกรอบ จนในที่สุดงานก็มาลงตัวตอน Fleder จะกำกับนี่แหละครับ
สำหรับบทมาร์ลีนั้นก็เคยมีการเล็งไว้ให้ Bridget Moynahan หรือ Amanda Peet มาแสดง แต่สุดท้าย Weisz ก็ได้บทไปครับ และนอกจากนี้ยังมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องบท เพราะตามฉบับนิยายนั้นจะเป็นการฟ้องร้องบริษัทยาสูบครับ แต่ในปี 1999 น่ะ มีหนังอย่าง The Insider ออกมาก่อน แล้วหนังก็เล่นประเด็นเกี่ยวกับการฟ้องร้องบริษัทยาสูบไปแบบละเอียดยิบแล้ว ผู้สร้างเลยเห็นว่าควรเปลี่ยนบทจนในที่สุดก็เปลี่ยนเป้ามาเป็นบริษัทผลิตอาวุธปืนแทน
และสิ่งหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ก็คือ นี่คือหนังเรื่องแรกที่ Hackman และ Hoffman มาแสดงร่วมกันครับ และจริงๆ ตามบทดั้งเดิมน่ะ พวกเขาจะไม่ได้มีฉากเผชิญหน้ากันแบบตรงๆ แต่พอดีมีคนในกองถ่ายไปรู้มาว่า จริงๆ แล้ว Hackman และ Hoffman เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ปี 1956 และยังไม่เคยได้มีการแสดงร่วมกันเลย ทีมงานเลยเขียนบทฉากที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากันในห้องน้ำขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อให้พวกเขาได้เจอกันโดยเฉพาะ
และอีกเกร็ดที่อยากบอกคือ พวกเขาเป็นเพื่อนกันใช่ไหมครับ และพวกเขาเคยเป็นเพื่อนร่วมห้องกันสมัยที่อยู่ที่ Pasadena Playhouse และพวกเขาเคยได้รับการโหวตให้เป็นบุคคลประเภท Least Likely to Succeed แปลตรงๆ ก็คือเป็นคนประเภทที่มีโอกาสน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จ – โดยส่วนตัวผมว่านี่เป็นเกร็ดที่น่าสนใจมากๆ เลยครับ จากคนที่เคยถูกมองว่าไม่น่าจะไปได้ไกล แต่ตอนนี้พวกเขาต่างก็เป็นตำนานของวงการ – อะไรๆ ก็ไม่แน่นะครับของแบบนี้น่ะ
ดังนั้นใครที่ชีวิต ณ ตอนนี้ยังไปไม่ถึงฝัน ยังโดนสบประมาท ยังโดนดูถูกอยู่ล่ะก็ ท่านลองพิจารณาเอาดาราระดับตำนาน 2 ท่านนี้เป็นตัวอย่างดูนะครับ
สำหรับหนังนั้นไม่ประสบความสำเร็จนักครับ เพราะทำเงินทั่วโลกไปเพียง $80 ล้าน แต่ทุนสร้างน่ะ $60 ล้านครับ ก็ถือว่าติดตัวแดงอยู่พอตัวครับ
ก็ถือเป็นหนังแนวระทึกขวัญบนศาลที่ทำได้ดีเรื่องหนึ่งครับ อาจยังไม่ถึงขั้นดีมาก บางอย่างอาจมีจุดโหว่หรือยังไม่เข้มไม่แน่นมากนัก แต่โดยรวมถือว่าควรค่าแก่การรับชมสำหรับท่านที่ชอบหนังแนวนี้ครับ
สองดาวครึ่งครับ
(7/10)
หมวดหมู่:Crime, Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Thriller












