นี่คือตอนที่ 3 ของหนังชุดใหญ่สั่งมาเกิด หรือ Armour of God ของเฮียเฉินหลงครับผม โดยเขากลับมารับบทนักล่าสมบัติฉายาเหยี่ยวเอเชีย เจ.ซี. อีกครั้ง ส่วนสมบัติที่เขาต้องตามหาในคราวนี้คือ ประติมากรรมรูปหล่อบรอนซ์ 12 นักษัตรของจีน
สิ่งแรกเลยที่รู้สึกเลยคือ ความสนุกของภาคนี้สู้ 2 ภาคแรกไม่ได้ครับ ส่วนหนึ่งผมว่าเป็นเพราะตัวละครมันเยอะไป อย่าง เจ.ซี นี่ คราวนี้มีทีมงานด้วยครับ มีตั้ง 3 คนแน่ะ เลยทำให้ฉากลุยต่างๆ มันดูความขลังลดลงเพราะ เจ.ซี.โดนแบ่งความเด่นไปไม่น้อยและเขาก็ไม่ค่อยได้โชว์ฝีมือเหมือนคราวก่อนๆ
แล้วผ่านไปสักพักยังมีตัวละครมาเพิ่มอีก ได้แก่ โคโค่ (เหยาซิงถง, Yao Xingtong) และแคทเธอรีน (Laura Weissbecker) ความเด่นของพระเอกเลยลดลงไปอีก ซึ่งบอกตรงๆ ว่าที่ผมอยากดูเรื่องนี้ก็เพราะเฮียเฉินครับ แต่พอเห็นแกน้อยลงมันเลยรู้สึกไม่อิ่ม และอีกอย่างคือผมว่าตัวละครอื่นๆ ที่รายล้อมพี่แกน่ะ คาแรคเตอร์ก็ยังไม่ได้น่าจดจำอะไรมาก ไม่เหมือน 2 ภาคแรกที่ทุกคนที่มาประกบกับแจ็คกี้ นอกจากตัวเองจะมีคาแรคเตอร์ให้จำแล้ว ยังมาช่วยเสริมความเด่นให้ตัวพระเอกอีกด้วย แต่นี่กลายเป็นเหมือนหนังพยายามดันให้แต่ละคนเด่นขึ้นจอ จนมันดูเยอะไป
แล้วความเยอะของตัวละครยังไม่หมดนะครับ ตอนกลางที่พวกเขาไปผจญภัยบนเกาะนั่น กลายเป็นว่าเราจะได้เจอตัวละครเกือบ 20 คนกันเลยล่ะ และประเด็นคือ เหมือนคนตัดต่อจะพยายามแบ่งความเด่นให้แต่ละคนที่โผล่เข้ามา ไม่ว่าจะพวกที่ไปตามล่าเจ.ซี. หรือเหล่าโจรสลัด (ที่มี หลอฮุยกวง (Lo Wai-Kwong) ร่วมแสดงด้วย เป็นโจรสลัดที่ถือบาซูก้า) ไปๆ มาๆ มันเลยดูล้นน่ะครับ จริงๆ ผมก็คิดนะ คือก็แค่โฟกัสไปที่เฮียเจ.ซี. อย่างเดียว แล้วคนอื่นๆ ให้ขึ้นจอแบบผ่านๆ ก็ได้ แต่พอพยายามจะเกลี่ยแบบนี้ พยายามจะใส่คำพูดให้ทุกตัวละครแบบนี้ ความเด่นของเฮีย เจ.ซี. เลยยิ่งน้อยลงไปโดยปริยาย
ส่วนฉากบนเกาะที่ว่านี้ จริงๆ ผมก็ชอบการเซ็ตองค์ประกอบนะ แต่มันก็ยังดูเป็นฉากน่ะครับ ไม่ได้ดูเป็นป่าจริงๆ แบบที่ควรจะเป็น อารมณ์ระหว่างดูฉากบนเกาะนี่เลยกึ่มๆ กลางๆ จะชอบก็ไม่ใช่ แต่จะไม่ชอบก็ไม่เชิง
ยอมรับว่าครึ่งแรกผมไม่ค่อยเพลินกับหนังเท่าไรครับ รู้สึกมันขาดๆ เกินๆ ไม่กลมกล่อมยังไงก็ไม่รู้ จนตอนแรกผมก็คิดว่าผมคงจะลงเอยด้วยการเฉยๆ กับหนังเรื่องนี้ซะแล้วล่ะมั้ง… แต่ก็เปล่าครับ เพราะกลายเป็นว่าผมเพลินกับครึ่งหลังมากๆ เลยล่ะ
ครึ่งหลังนี่เหมือนพลิกไปเป็นอีกอารมณ์หนึ่งเลยครับ นั่นคือ เจ.ซี. กลับมาเป็นตัวนำแบบแท้ๆ คือพี่แกลุยเองเป็นหลัก โดยมีลูกน้องในทีมอย่างบอนนี่ (Zoe Zhang) ประกบไปด้วยแค่คนเดียว แต่มันกลายเป็นความพอดีครับ มันเหมือน “นี่แหละคืออะไรที่หนังควรจะเป็น” สปอตไลท์ส่องมาที่ เจ.ซี. แล้วทีนี้ และพอตัวละครในฉากน้อยลง ความสมดุลย์มันเลยบังเกิดครับ และช่วงนี้แหละที่ผมถือเป็นไฮไลท์เลย ไล่ตั้งแต่ตอนที่ เจ.ซี. ฟัดกับวัลเชอร์ (Alaa Safi) นักล่าสมบัติจอมกวน ฉากที่ทั้งคู่ฟัดกันนี่คืออย่างมันส์ครับ จากที่อารมณ์เฉยๆ นิ่งๆ ในครึ่งแรก พอมาฉากนี้ ผมตื่นทันที ตาลุกวาวเลย
แล้วจากนั้นก็ยิงยาวครับ พอฟัดกับวัลเชอร์แล้วก็ฟัดกับลูกน้องของผู้ร้ายต่อ ทีนี้ล่ะได้ใจ เพราะความเป็นหนังเฮียเฉินแบบที่ควรเป็นได้กลับมาแล้ว งานยโชว์สตันท์และผาดโผนตามสไตล์เฮียเฉินนี่คิอมาเต็ม แล้วเรายังจะได้เห็นการสู้กันระหว่างบอนนี่กับ เคที่ (Caitlin Dechelle) ลูกน้องของวัลเชอร์ ฉากนี้ก็มันส์ไม่น้อยเหมือนกัน
นับจากจุดที่ว่านี้ สำหรับผมคือหนังกลายเป็นดูเพลินขึ้นมาเลยครับ ส่วนตอนท้าย เจ.ซี. ก็ลุยเดี่ยวอีก ทีนี้ก็ยาวเลยครับ สรุปคือครึ่งแรกนี่ผมนิ่งๆ แต่ครึ่งหลังนี่คือสนุกจริง มันส์จริง อะไรจริง และหนังยังสอดแทรกอะไรๆ ที่น่ารักๆ ลงไปอย่างพอเหมาะด้วย (โดยเฉพาะเรื่องระหว่าง เจ.ซี. กับ วัลเชอร์ หรือระหว่างบอนนี่กับเคที่ มันเป็นอะไรที่ทำให้ผมยิ้มได้เลยล่ะครับ)
สำหรับดาราที่มาแสดงในเรื่องนี้ คนที่จัดว่าพอมีชื่อและพอรู้จักก็มี ควอนซังวู (Kwon Sang-woo) ในบทไซม่อน หนึ่งในลูกทีมของ เจ.ซี. และ Oliver Platt มาเป็น ลอว์เรนซ์ มอร์แกน พ่อค้าศิลปะวัตถุที่ไม่ค่อยจะซื่อสักเท่าไร
และสิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้จากตัวละครอย่างโคโค่ก็คือ ยามเราจะพูดอะไรออกไปนั้น แม้สิ่งที่เราพูดมันจะถูกต้องแค่ไหน หรือจริงแท้แค่ไหน เราก็ควรพูดมันออกไปอย่างเป็นมิตร พูดด้วยความตั้งใจที่ดี และท่าทีที่เป็นบวก เราไม่จำเป็นที่ต้องพูดจากถากถาง เชือดเฉือน หรือกรีดแทงผู้อื่น แม้ผู้อื่นนั้นจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม – เราอาจต้องถามตัวเองให้ดีก่อนจะเอ่ยอะไรออกไป ว่าเราต้องการจะทำอะไรกันแน่ ระหว่างพูดเพื่อให้เขาหันมาทำสิ่งที่ถูกต้อง หรืออยากด่าทอเขาเพื่อความสะใจ
ไม่ได้จะบอกว่า คนผิดด่าไม่ได้ หรือถ้าเขาทะเลาะมาแล้วเราจะทะเลาะกลับไม่ได้ แต่อยากชวนให้คิด ว่ามันคุ้มที่จะทำจริงๆ หรือเปล่า? ทำแล้วมันได้ประโยชน์หรือเปล่า?
อีกอย่างก็คือ บางครั้งแม้สารที่เราอยากจะสื่อมันจะดีแค่ไหน แต่ถ้าหากท่าทีในการสื่อสารของเรามันไม่น่ารัก ไม่เป็นมิตร ไม่น่าฟัง มันก็อาจทำให้การสื่อสารที่ควรจะเป็นประโยชน์ กลายเป็นถ้อยคำที่ปลิวหายไปอย่างน่าเสียดาย (เพราะโดนพายุอารมณ์พัดไปหมด)
ผมจึงอยากจะขอบคุณตัวละคร “โคโค่” ในเรื่องครับ ที่ทำให้ผมได้ย้อนทบทวนประเด็นนี้ และได้ย้อนคิดเพื่อเตือนตัวเอง
สรุปคือผมเฉยกับครึ่งแรกครับ แต่มาสนุกเอาครึ่งหลัง เอาเป็นว่าถ้าท่านชอบ 2 ภาคแรก ก็ต้องทำใจกับภาคนี้หน่อย แต่อย่างน้อยครึ่งหลังก็จ้ดว่าควรค่าแก่การรับชม และหนังก็เชิดชูความเป็นฮีโร่ของ เจ.ซี ได้อย่างน่าพอใจด้วย
สองดาวหน่อยๆ ครับ
(6/10)












