Drama

The Six Triple Eight (2024) 6888: กองพันหญิงแกร่ง

หนังเข้าทางผมอีกแล้วครับ ชอบนักล่ะหนังบอกเล่าเรื่องราวในประวัติศาสตร์ประเภทที่สร้างแรงบันดาลใจ และเรื่องนี้ก็ตอบโจทย์ตรงเผงครับ ดูแล้ว Feel Good ได้พลังบวกมาเยอะเลย

เรื่องราวเกิดขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อระบบการส่งจดหมายของกองทัพประสบปัญหา ทำให้จดหมายจากทหารไปไม่ถึงคนที่บ้าน ส่วนจดหมายของคนที่บ้านก็ไปไม่ถึงทหาร ส่งผลให้ขวัญกำลังใจทั้งของฝ่ายคนรอที่บ้านและฝ่ายทหารต่างก็ลดลง จนในที่สุดกองทัพก็ได้มอบหมายให้กองพัน 6888 ที่ดูแลโดยผู้พันแชริตี้ อดัมส์ (Kerry Washington) เป็นหน่วยที่มารับผิดชอบภารกิจนี้ไป

ก่อนอื่นเลยผมต้องขอขอบคุณทีมงานทุกท่านที่สร้างหนังเรื่องนี้ออกมาครับ เพราะไม่งั้นผมคงจะไม่มีทางได้รับรู้วีรกรรมของกองพันหญิงแกร่งนี้อย่างแน่นอน และตัวหนังก็ทำออกมาดีด้วยครับ การเล่าเรื่องก็จัดว่าน่าติดตาม ดาราแต่ละคนก็สวมบทบาทกันได้อย่างน่าจดจำ โดยเฉพาะ Washington ที่เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ กับบทผู้พันอดัมส์ คือแต่ละฉากที่เธอปรากฏตัวนั้นคือมีพลังทั้งสิ้น เธอสามารถถ่ายทอดคาแรคเตอร์นายทหารหญิงที่มีความเข้มแข็งและจิตใจที่แกร่ง แต่ขณะเดียวกันเธอก็ยังมีมุมที่อ่อนโยนให้เราได้สัมผัส และแต่ในละสถานการณ์ เธอก็สามารถสื่ออารมณ์ข้างในตัวละครได้อย่างดี

อย่างตอนที่เธอฝึกฝนผู้ใต้บังคับบัญชา เธอก็จะมีความดุดัน แต่ความดุดันนั้นหาใช่ความโหดร้าย หาใช่ความบ้าอำนาจ แต่มันคือความดุดันที่เธอต้องมีเพื่อฝึกฝนให้เหล่าทหารหญิงผิวสีมีระเบียบวินัย และที่สำคัญคือจะได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพวกเธอ เป็นการฝึกให้พวกเธอสามารถอดทนและรับมือต่อสถานการณ์ที่กดดันยิ่งกว่านี้ เพราะการเป็นทหารหญิงนั้นก็โดนเหล่าผู้ชายมองใส่แบบกดๆ อยู่แล้ว นี่ยังเป็นผู้หญิงผิวสีอีก แน่นอนว่าพวกเธอย่อมต้องเจอวิบากและขวากหนามมากกว่าทหารหญิงผิวขาวหลายร้อยเท่า

หรือตอนที่ผู้พันอดัมส์ต้องเผชิญกับความกดดัน ทั้งจากสถานการณ์หรือผู้บังคับบัญชา (ที่ปฏิบัติต่อเธออย่างไม่เป็นธรรม) Washington ก็สามารถแสดงสีหน้าท่าทางสื่ออารมณ์ได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะตอนไคลแม็กซ์ช่วงท้ายที่เธอเผยความรู้สึกออกมาหลังจากโดนหยามเหยียดครั้งแล้วครั้งเล่า ฉากนี้ทำเอาผมอินตามไปเลยครับ เพราะอารมณ์ของฉากนั้นมันถึงมากๆ แล้วถัดจากฉากนั้นผมก็กะแล้วล่ะว่าต้องมีอะไรมาเรียกน้ำตาแหงๆ แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ (แล้วผมก็มีน้ำตาจนได้) – ยอมรับเลยครับว่าเรื่องนี้นี่ ดูแค่ Washington ก็คุ้มแล้วล่ะ

ดาราคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีเช่นกันครับ ที่เด่นหน่อยก็คือ Ebony Obsidian ในบทลีน่า ผู้หญิงที่ตัดสินใจมาเป็นทหารเนื่องจากสูญเสียคนที่รักไป และอีกคนที่จัดจ้านเอาเรื่องก็คือ Shanice Shantay ในบทจอห์นนี่ เมย์ รายนี้ก็เป็นสีสันได้ไม่น้อยเหมือนกัน

สิ่งที่คาดหมายอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนดูก็คือหนังคงสะท้อนให้เราเห็นโลกของทหารหญิงผิวสีที่โดนเหล่าทหารชายผิวขาวกดขี่และดูถูก ซึ่งหนังก็ถ่ายทอดภาพเหล่านั้นออกมาได้ชัดดีครับ โดยเฉพาะตัวละครอย่างนายพลฮัลท์ (Dean Norris) ที่ชัดเจนเลยว่าเขาไม่เชื่อในความสามารถของทหารหญิงผิวสีมากแค่ไหน ซึ่งตัวละครเหล่านี้นับว่ามีความสำคัญครับ เพราะยิ่งพวกเขาดูหมิ่นและหยามเกียรติเหล่าทหารหญิงผิวสีมากเท่าไร เราก็จะยิ่งได้เห็นความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวของพวกเธอมากขึ้นเท่านั้น – คงเหมือนที่เขาว่า “มารไม่มี บารมีไม่เกิด” นั่นแหละ – แล้วก็แน่นอนว่า Norris แสดงได้ดีเช่นเคย รายนี้แม้จะเล่นแต่บทสมทบ แต่ก็เป็นนักแสดงสมทบที่เสริมความเยี่ยมให้กับหนังได้ทุกทีไป

หนังจัดว่านำเสนอเรื่องราวอย่างพอดี อย่างประเด็นเหยียดผิวนี่ก็มีในระดับที่พอเหมาะ ไม่ได้ดูเยอะเกินจนเหมือนตั้งใจทำออกมาเพื่อต่อว่าคนผิวขาว เพราะก็ยังมีตัวละครที่ไม่เหยียดผิวอย่าง เอเลนอร์ โรสเวลต์ ที่ Susan Sarandon เมคอัพได้อย่างเหมือนครับ และแม้ในเรื่องบทเธอจะไม่เยอะ แต่ก็จัดอยู่ในข่าย “น้อยแต่แน่น” เป็นบทที่มีความหมายต่อเรื่องราวและน่าจดจำไม่ใช่น้อย

หนังน่าติดตามไปตั้งแต่ต้นจนจบครับ ซึ่งก็ขอชม Tyler Perry ที่กำกับหนังเรื่องนี้ออกมาได้ดี ดูแล้วก็นึกถึง Hidden Figures เหมือนกันนะครับ เพราะแนวเรื่องถือว่ามาทางเดียวกัน แต่เรื่องนั้นจะครบเครื่องครบรสและเข้มข้นกว่าหน่อย ซึ่งจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าหนังเรื่องนี้ยังพร่องไปคือ หนังยังไม่ค่อยนำเสนอให้เราเห็นฝีมือของทหารหญิงหน่วยนี้แบบเต็มๆ – ผมหมายถึงพวกเรื่องราว “ระหว่างทาง” จากจุดเริ่มต้นที่มืดแปดด้านในการส่งจดหมาย จนถึงจุดปลายทางที่พวกเธอสามารถส่งจดหมายได้สำเร็จน่ะครับ

จริงๆ ผมเชื่อว่าพวกเธอต้องเจออุปสรรคหลายอย่าง แล้วพวกเธอก็ต้องใช้ทักษะต่างๆ ในการแก้ปัญหาไม่ใช่น้อย ซึ่งนี่แหละครับที่ผมอยากเห็น – จริงๆ หนังก็มีให้เห็นบ้างอย่างตอนที่ลีน่าสังเกตเรื่องสัญลักษณ์บนซองจดหมายเป็นต้น แต่ถ้าได้เห็นฝีมือและความพยายามของพวกเธอมากกว่านี้ พลังของหนังคงเยอะขึ้นน่ะครับ

แต่สำหรับผม จุดพร่องที่ว่านั่นก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรครับ โดยรวมผมยังคงชอบหนังเรื่องนี้มากๆ อยู่ดี และหนังก็ถือว่าคุ้มค่าแก่การรับชมอยู่ดีเช่นกัน อันนี้ขอเชิญเลยครับ ใครที่ชอบหนังแนวเล่าประวัติศาสตร์สงคราม ชอบหนังที่บอกเล่าเรื่องราวความพยายามของคน และหนังที่เสริมพลังใจชวนให้เราฮึกเหิมในการก้าวเดินบนเส้นทางชีวิตต่อไป เรื่องนี้ถือเป็นตัวเลือกที่ดีเรื่องหนึ่งเลยครับ

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)