Action

Mr. Majestyk (1974) มาเจสติค จ้าวนักเลง

อารมณ์ตอนผมดูหนังเรื่องนี้นี่เหมือนตอนผมดู Dirty Harry เป็นครั้งแรกเลยครับ คือมันมีความรู้สึกว่าหนังน่าติดตาม ดูแล้วมันอยากดูต่อ อยากรู้ว่าเรื่องมันจะไปทางไหนต่อ

เรื่องนี้พี่หนวดหิน Charles Bronson รับบท วินเซนต์ มาเจสติค เจ้าของไร่แตงโมที่กำลังถึงช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต เลยมีการจ้างคนมาเก็บแตงโม แต่ทีนี้เขาก็โดนอันธพาลในท้องที่อย่างบ็อบบี้ โคพาส (Paul Koslo) ก่อกวน จนเขามีอันต้องระเห็จไปอยู่ในคุก แล้วในคุกนั่นเขาก็ได้เจอกับ แฟรงค์ เรนด้า (Al Lettieri) มือปืนผู้ทรงอิทธิพลอีกคนที่ทางการกำลังต้องการตัว

แต่แล้วในระหว่างการขนถ่ายนักโทษก็เกิดเหตุชิงตัวนักโทษขึ้น… ขอเล่าถึงแค่นี้แล้วกันนะครับ ที่เหลือไปติดตามเองจะสนุกกว่า

อย่างที่บอกครับว่าหนังเล่าเรื่องได้ชวนติดตามดี คือพอดูแล้วมันอยากรู้ว่า “แล้วไงต่อ” อย่างหลังจากเหตุการชิงตัวนักโทษมันก็จะมีเรื่องต่อ มีเรื่องต่อ เราก็อยากรู้น่ะครับว่าในที่สุดแล้ววินเซนต์จะต้องเจออะไร แล้วเรื่องมันจะไปทางไหน ซึ่งจริงๆ เรื่องมันก็ไม่ได้เกินคาดเดาอะไรหรอกครับ แต่อย่างที่บอกว่าการเล่าเรื่องมันชวนให้ตามดู ซึ่งก็ต้องชม Elmore Leonard ที่เขียนบทเรื่องนี้ (เขาคนนี้คือผู้ประพันธ์เรื่องราวอย่าง Get Shorty, Jackie Brown และ Out of Sight น่ะครับ) แล้วก็ฝีมือกำกับของ Richard Fleischer (รายนี้ก็มีผลงานที่น่าจดจำอย่าง Fantastic Voyage, Soylent Green และร่วมกำกับ Tora! Tora! Tora! ด้วย)

แต่ก็แน่นอนครับว่าถ้าดาราไม่เวิร์ก หนังก็ยากจะเวิร์กได้ และกับเรื่องนี้ดารานำก็เวิร์กมากๆ ครับ Bronson ดูเท่ห์มากๆ กับบทนี้ พีแกดูฉลาด หัวไว ปรับตัวตามสถานการณ์เก่ง แล้วก็ตามสูตรครับที่ตามบทแล้วตัววินเซนต์เนี่ยจะต้องไม่ใช่แค่ชาวไร่ธรรมดา แต่พี่แกมีประวัติ ซึ่งพอฟังประวัติพี่แกแล้วเราก็สิ้นสงสัยเลยครับว่าทำไมพีแกถึงพิษสงเยอะซะขนาดนั้น

อีกคนที่ลืมไม่ได้คือ Lettieri ที่หลายท่านน่าจะจำได้จากบทซอลลอสโซ่แห่ง The Godfather ภาคแรก มาเรื่องนี้พี่ท่านก็สามารถสวมบทนักเลงมือปืนที่ดูเจ้าอารมณ์และร้ายกาจได้อย่างสมจริงครับ แล้วก็ยังมี Koslo ที่รายนี้ก็ดูเป็นอันธพาลที่จริงๆ แล้วไม่ได้เก่งหรือเก๋าอะไรมาก บางครั้งก็ชอบพูดมากจนเกินงาม เหมือนเก่งแต่ปากแต่พอถึงคราวลงมือกลับไม่เก่งดังที่คุยไว้ ลีลากล้าๆ กลัวๆ เงอะๆ งะๆ ของเขาบางครั้งก็สร้างสีสันและดูน่าขัน (ปนน่าหมั่นไส้) ดีเหมือนกัน ส่วนนางเอกอย่าง Linda Cristal ก็ดูเป็นสาวเก่งและสาวแกร่ง ที่ดูเข้าคู่กับพระเอกดีไม่น้อย

ผมว่าหนังมันส์ดีครับ มันส์ในที่นี่ไม่ได้หมายถึงหนังบู๊กระหน่ำซัดกันทั้งเรื่อง แต่มันมันส์ด้วยคาแรคเตอร์ของวินเซนต์กับสไตล์การแก้สถานการณ์ต่างๆ ของเขา บางอย่างก็ดูฉลาด บางอย่างดูสุขุม แต่ก็มีบ้างบางทีที่ความมั่นใจของเขานำพาตัวเองมาสู่สถานการณ์ลำบาก ถ้ามองในแง่หนึ่งก็อาจมองได้ว่าบทยังเขียนคาแรคเตอร์ของมิสเตอร์มาเจสติคคนนี้ได้ไม่เคลียร์นัก แต่ผมกลับรู้สึกว่า นี่แหละที่ทำให้ตัวละครนี้ดูน่าสนใจ เพราะเขาดูเป็นมนุษย์ปุถุชน แม้เขาจะสามารถใจเย็นและตัดสินใจได้ถูกเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบ้างที่จะตัดสินใจอะไรพลาด โดยเฉพาะความพลั้งพลาดที่เกิดจากการประเมินตัวเองสูงไปหรือประเมินฝ่ายตรงข้ามต่ำไป – อาจเพราะมิติเหล่านี้ที่ทำให้ผมรู้สึกคอนเนคกับตัวละครนี้น่ะครับ

เกร็ดที่ขอแถมไว้ตรงนี้ก็คือ แรกเริ่มเดิมที Leonard เขียนบทหนังเรื่องนี้ขึ้น โดยมีภาพ Clint Eastwood อยู่ในหัว (เพราะเขาเคยร่วมงานกับ Eastwood ในฐานะคนเขียนบทหนังเรื่อง Joe Kidd ครั้นพอผู้อำนวยการสร้าง Walter Mirisch ตัดสินใจซื้อบทนี้มา เขาก็เคยคิดว่าบทนี้จะให้ Steve McQueen มาแสดง แต่ในที่สุดบทก็ตกมาถึงพี่หนวดหินของเรานี่แหละครับ ซึ่งโดยส่วนตัวยผมว่าพี่เขาดูเหมาะสุดแล้วล่ะ

และหนังมีฉากหนึ่งที่ผมชอบนะ คือตอนที่พวกของแฟรงค์เริ่มคุกคามและพุ่งเป้ามาที่วินเซนต์มากขึ้นๆ พวกนั้นยังอาจหาญถึงขั้นฆ่ารองนายอำเภอ และทำร้ายเพื่อนของวินเซนต์ จนในที่สุดวินเซนต์ก็ตำหนิตำรวจ (ที่ควรจะทำหน้าที่ช่วยเหลือปกป้องพวกเขา) และมีปากเสียงกับสารวัตรแมคอัลเลน (Frank Maxwell) ที่ดูแลเมืองอยู่ ซึ่งสารวัตรก็อารมณ์เสียและบอกวินเซนต์ไปว่า “ช่วยตัวเองก็แล้วกัน”

วินเซนต์ที่กำลังเดินจากไป พอได้ยินเลยหันกลับมาบอกว่า “ผมมันก็ต้องช่วยตัวเองมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?” – ไม่รู้ทำไม แต่โดนใจลึกๆ…

สรุปว่าเรื่องนี้เป็นหนังดราม่าแอ็คชั่นที่ดูเพลินมากเรื่องหนึ่งครับ ปริมาณการบู๊อาจไม่เยอะ แต่มันเข้าท่าตรงการแสดงและคาแรคเตอร์ของ Bronson รวมถึงการเล่าเรื่องที่เพลินดี (แม้บทอาจมีช่องโหว่หรือมีอะไรชวนให้ตะหงิดๆ บ้างก็ตาม)

สองดาวครึ่งครับ

(7/10)