Horror

Late Night with the Devil (2023) คืนนี้ผีมาคุย

มีคนบอกว่าผมน่าจะชอบหนังเรื่องนี้ แล้วก็จริงดังว่าครับ หนังจัดว่าเข้าทางผมมากทีเดียว

ผมชอบที่หนังสยองแบบค่อยเป็นค่อยไป อารมณ์เหมือนใช้ไฟอ่อนๆ ตุ๋นไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ไต่ระดับ จากตอนต้นที่ดูธรรมดา แล้วเรื่องมันก็ค่อยๆ แปลกขึ้น สถานการณ์ค่อยๆ น่าฉงนขึ้น จนพอถึงช่วงท้ายนี่ก็จัดเต็มกันไป ถือเป็นประสบการณ์การดูหนังสยองที่อร่อยสำหรับผมเลยครับ แล้วความยาวก็ไม่เยอะด้วย แค่ชั่วโมงครึ่ง ก็จัดว่าพอดีคำกำลังเหมาะเลย

เรื่องราวก็เล่าแบบเนื้อๆ สำหรับผมหนังไม่มีช่วงอืดนะ เพราะแต่ละช่วงละตอนเนี่ยมันจะมีอะไรให้เราได้รับรู้เสมอ โดยเฉพาะอุปนิสัยใจคอของตัวละครที่ทำให้เราอินกับเรื่องได้มากขึ้น แล้วไหนจะมีรายละเอียดระหว่างทางไม่ว่าจะมาเป็นภาพหรือมาเป็นบทสนทนาที่บางครั้งก็ดังแบบแว่วๆ ซึ่งคนชอบเก็บรายละเอียดแบบผมนี่ถือเป็นของสนุกเลยครับ

แต่ก็ต้องบอกก่อนครับว่าหนังมันไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาสยองตลอดทั้งเรื่อง แต่จะเน้นหลอนแบบกินบรรยากาศไปเรื่อยๆ ดังนั้นใครหวังลาบเลือดตือฮวนเยอะๆ ก็ต้องทำใจหน่อยนะครับ หนังไม่ได้มาแนวโหดแบบนั้น คือมีโหดบ้างแต่ก็ไม่ได้เยอะแบบพวกหนังเชือด แต่ถึงจะมีน้อยก็ตาม ไอ้ที่น้อยๆ เหล่านั้นก็ทำเอาขนหัวลุกได้ไม่น้อยเหมือนกัน

หนังเล่าเรื่องได้น่าติดตามครับ อย่างที่บอกว่าหนังจะค่อยๆ ให้รายละเอียดให้เราเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ปะติดปะต่ออะไรต่อมิอะไรจเห็นภาพรวมในท้ายที่สุด จุดนี้ขอชมผู้กำกับ Cameron Cairnes และ Colin Cairnes เลยครับที่คุมหนังได้อยู่ จังหวะจะโคนต่างๆ ถือว่าพอดี แล้วก็บวกด้วยพลังของเหล่าดาราที่ดูแล้วเชื่อน่ะครับว่าพวกเขาเป็นตัวละครนั้นๆ ดูแล้วมีเลือดมีเนื้อ มีโกรธมีกลัวแบบคนทั่วไป

โดยส่วนตัวแล้วผมเตะตา David Dastmalchian มานานครับ คือเห็นครั้งแรกใน The Dark Knight แล้วจำได้เลย เพราะหน้าเขาเป็นเอกลักษณ์ มาเรื่องนี้เขาก็สามารถถ่ายทอดบท แจ็ค เดลรอย ได้ดี ซึ่งการสังเกตสีหน้าท่าทางและการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ ของเขานี่มันสื่ออะไรได้มากเลยครับ ถือเป็นการแคสที่เหมาะมาก เช่นเดียวกับคนอื่นๆ อย่าง Fayssal Bazzi ในบทคริสตู หมอผีพลังจิต รายนี้หน้าที่หลักคือทำให้คนดูรู้สึกว่าหมอนี่ไม่ได้มีพลังจริงหรอก แค่การแสดงน่ะ ซึ่งเขาก็ทำให้เรารู้สึกแบบนั้นได้จริงๆ ครับ แต่ครั้นพอพี่ท่านแสดงอาการแปลกๆ เราก็สัมผัสได้เหมือนกันว่ามันชักจะเริ่มมีอะไรผิดปกติแล้ว

หรืออย่าง Ian Bliss ในบทคาร์ไมเคิล เฮค รายนี้ก็ดูเย่อหยิ่งถือดีอย่างยิ่ง หรือจะ Rhys Auteri ในบทกัส พิธีกรร่วมของรายการ รายนี้ก็สื่ออารมณ์ได้เยี่ยมอีกเช่นกัน คือตอนไหนที่เขาไม่สบายใจนี่สีหน้าจะออกเลยครับ แต่รายที่ต้องยกนิ้วให้หลายๆ นิ้วเลยคือ Ingrid Torelli ในบทลิลลี่ ผมถือว่าเธอเป็นไฮไลท์ของเรื่องเลยนะ เพราะแสดงได้เจ๋งมาก ถึงมาก และหลอนมาก ชนิดที่ถ้าผมได้เจอตัวจริงของเธอนี่ผมคงขอไม่เข้าไปใกล้ๆ ล่ะครับ เพราะเธอดูน่ากลัวและดูมีอะไรไม่ธรรมดาจริงๆ

เป็นหนังสยองที่เข้าทางผมครับ แต่ผมก็ไม่รับประกันว่าทุกท่านจะชอบนะ แต่ถ้าท่านชอบหนังสยองแบบกินบรรยากาศ แบบค่อยๆ มา ค่อยๆ มา แล้วมีปมมีรายละเอียดทิ้งให้เราสังเกตระหว่างทางเรื่อยๆ ผมว่าท่านน่าจะโดนครับ อย่างผมนี่คือโดนจริง ว่างๆ ก็คงเอามาดูอีกน่ะครับ เพราะน่าจะมีรายละเอียดให้เก็บอีก แล้วก็ดูเพื่อเสพความหลอนไปตุ๋นไปเรื่อยๆ แบบนี้มันเพลินดี

อีกอย่างที่หนังฝากไว้ให้เราคิดก็คือ อย่ายึดติดพวกชื่อเสียงลาภยศให้มากจนเกินไป คือมีน่ะมีได้ครับ มีชื่อเสียง มีความดัง มีรายได้ตอบแทน เราก็ทำไปสร้างไปตามความสามารถเท่าที่เราไหว แต่อย่าให้ถึงขนาดความอยากได้อยากมีมาครอบงำเรา จนยอมเอาทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไปแลกเพื่อให้ได้มันมา – เพราะบางทีนอกจากเราจะไม่ได้ในสิ่งนั้นแล้ว เราอาจต้องเสียสิ่งอื่นๆ ไปด้วย – และบางทีกว่าเราจะตระหนักว่า “มันไม่คุ้มเลย” ก็สายไปแล้ว

บางครั้งหนังอาจทำให้เราย้อนไปมองแล้วไตร่ตรองอดีต หรือไม่ก็ชวนให้ตรวจตราตัวเราในปัจจุบันเพื่อชำเลืองมองไปยังอนาคต

โดยส่วนตัวผมมองว่า หนังเรื่องนี้ มีดีมากกว่าผีโผล่ครับ

สองดาวสามส่วนสี่ดวงครับ

(7.5/10)