รัสเซลล์ (Paul Greene) เจ้าของร้านขายของเก่าพาสต์ เพรสเซ็นส์ได้ไปเจอกับเครื่องแบบทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในกระเป๋าเสื้อมีภาพถ่ายใบหนึ่งอยู่ และเขาก็ตัดสินใจที่จะหาทางคืนเครื่องแบบนี้ให้กับเจ้าของตัวจริง เขาเลยพยายามหาข้อมูลเพิ่มเพื่อหาเจ้าของ และนั่นก็ทำให้เขาได้เจอกับผู้พันแคโรไลน์ อัพตัน (Jill Wagner) ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์การทหารที่ขันอาสามาช่วยเขาในภารกิจนี้ – และพวกเขาก็รักกันครับ 555
ผมว่าเรื่องนี้มีพล็อตที่เข้าท่า คือไม่ได้เป็นแค่หนังรอมคอมคริสต์มาสอย่างเดียว แต่มีปมให้สืบ มีภารกิจให้ตัวเอกทำ ซึ่งทำให้ผมนึกถึงหนัง Hallmark ในช่วงยุค 90 และต้นยุค 2000 ครับ คือจะมาแบบนี้แหละ คือมีพล็อตให้พระเอกนางเอกร่วมกันทำอะไรสักอย่าง แล้วระหว่างทางความรักของพวกเขาก็จะค่อยๆ เบ่งบาน แต่หนังสมัยโน้นมันจะกลมกล่อมและพอดีกว่า เพราะทั้งพล็อตภารกิจและพล็อตความรักมันเดินเคียงข้างกันไป จนพอหนังจบพอภารกิจสำเร็จความรักของทั้งคู่ก็จะสุกงอมพอดี อะไรประมาณนี้
แต่กับหนังยุคหลังมันเหมือนจะเน้นที่พล็อตความรักเป็นหลักน่ะครับ ส่วนพล็อตการสืบค้นตามหามันดูจะเป็นรอง คือมันจะถูกนำเสนอแบบเรื่อยๆ ไม่ได้มีลูกเล่นหรืออะไรให้ลุ้นนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็เข้าอีหรอบนั้นน่ะครับ อันนี้บอกก่อนว่าไม่ใช่หนังเรื่องนี้ไม่ดีนะครับ จริงๆ ก็ถือว่าทำได้โอเคประมาณหนึ่งเลย ดาราก็ดี ปมก็ดี บรรยากาศความเป็นวันคริสต์มาสก็ถือว่าดี เพียงแต่การเล่าเรื่องมันยังไม่กลมกล่อม คือมันดูแล้วรู้เลยน่ะครับว่าพล็อตว่าด้วยการตามสืบหาตัวเจ้าของเครื่องแบบนั้นถูกใส่มาลงเพื่อเป็นส่วนประกอบ ไม่ได้เล่าแบบชวนให้อยากรู้อยากติดตามอะไรขนาดนั้น
พอดูจบก็เลยแอบเสียดายหน่อยๆ เพราะหนังน่ะมาถูกทางแล้ว แต่การเล่าเรื่องยังไม่เข้าที่ หลายส่วนหลายตอนมันดูเหมือนตั้งใจประดิษฐ์น่ะครับ ประดิษฐ์ให้ฉากเป็นแบบนั้น บทพูดเป็นแบบนี้ ให้พูดถึงการสืบนิดหน่อย แล้วซักพักก็วกมาเรื่องโรแมนติก มันได้อารมณ์ประมาณนั้น – แต่กระนั้นหนังก็ยังถือว่าดูได้เพลินๆ นะครับ อันนี้ต้องขอบคุณ 2 ดารานำ ทั้ง Greene และ Wagner ที่เอาบทได้อยู่ ดูแล้วเราเชื่อว่าพวกเขาคือคาแรคเตอร์ตัวละครในเรื่องจริงๆ
และจริงๆ หนังสอดแทรกประเด็นดีๆ ลงไปหลายอย่างครับ ผมชอบตอนรัสเซลล์พูดถึงตุ๊กตาซานต้าในร้านของเขา ตัวที่มีรอยแตกน่ะครับ เขาเล่าว่าตุ๊กตาตัวนั้นลูกค้าไม่ซื้อไปเพราะมองว่ามีรอยแตก เลยอาจมองว่ามันมีค่าน้อยลงหรือมองว่ามันเปราะบาง แต่เขากลับมองว่ารอยแตกแสดงให้เห็นว่าตุ๊กตาตัวนี้แข็งแกร่งแค่ไหนที่สามารถผ่านเหตุการณ์นั้นๆ มาได้ – เป็นมุมมองที่น่าสนใจครับ และยังเป็นมุมมองที่เกี่ยวโยงถึงเรื่องความรักระหว่างเขากับแคโนไลน์ด้วย
ในหนังได้เล่าไว้ครับว่าแคโรไลน์เธอมีอดีตที่เลวร้ายกลางสนามรบ มันสร้างรอยแผลฉกรรจ์ไว้ในใจเธอ ดังที่เธอบอกว่า “บาดแผลบางอย่าง ก็ไม่ทิ้งรอยให้เห็น” แล้วในฉากหนึ่งที่เธอเล่าถึงคืนที่เธอต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายนั้น แต่สุดท้ายเธอก็เล่าได้ไม่จบ และผละออกไปจากห้อง
รัสเซลล์ทั้งนั่งฟังอยู่ก็ถามอัลตัน (Simon Arblaster) เพื่อนของแคโรไลน์ว่า “ผมช่วยอะไรเธอได้ไหม?”
อัลตันตอบว่า “ไม่ แต่เธอต้องการให้คุณอดทนกับเธอ” – บทสนทนานี้ผมถือว่าน่าสนใจทีเดียวครับ
ในฐานะที่ผมมีคนรักให้ดูแลมานานระยะหนึ่งแล้ว บอกได้เลยว่ากระบวนท่าในการดูแลจิตใจคนที่เรารักนั้น ไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียวครับ มันมีหลากท่าหลายกระบวน – บางครั้งคนรักต้องการให้เราอยู่ใกล้ๆ เพื่อที่เธอจะได้สามารถโอบกอดเราแน่นๆ ทุกเมื่อยามที่เธอต้องการ
แต่บางครั้งเธอก็ต้องการพื้นที่ ต้องการที่ว่าง ต้องการอยู่เพียงลำพังเพื่อทบทวนอะไรบางอย่าง – ในช่วงเวลานั้นหากเรายังดึงดันที่จะเข้าไปหา มันอาจกลายเป็นความอึดอัดแทนที่จะเป็นความอบอุ่น
เชื่อว่าท่านที่อยู่กับคนรักมานานพอ และสังเกตเขาหรือเธอมากพอ ก็คงพอเข้าใจประเด็นเหล่านี้ – ดังนั้นเราจะใช้กระบวนท่าไหนในการดูแลใจคนรักนั้น ต่างโอกาส ต่างปัจจัย ก็ต่างวิธีการกันไป
บางครั้งความรักก็เหมือนการปรุงอาหาร บางจานต้องออกเค็มหน่อยถึงจะอร่อย แต่บางจานก็ต้องหวานนำถึงจะละมุนลิ้น
สำหรับผม หนังเรื่องนี้ถือว่าคุ้มค่าในการดูอยู่ครับ เพียงแต่ความกลมกล่อมในส่วนของการเล่าเรื่องอาจยังไมเต็มที่ ซึ่งอันนี้ผมไม่ค่อยอยากโทษผู้กำกับ เพราะหนังของ Hallmark – หรือเรื่องนี้ที่เป็นของ Great American Family ซึ่งก็แตกออกมาแข่งกับ Hallmark นั่นแหละ – บางทีก็มีข้อจำกัดเรื่องงบ และข้อจำกัดที่สำคัญสุดคือ “เวลา” ครับ นั่นคือหนังต้องทำออกมาให้ลงสล็อตในการฉาย ความยาวต้องไม่เกิน 85 นาที ดังนั้นเลยใส่รายละเอียดได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะมีใบสั่งจากผู้สร้างกำหนดมาด้วยหรือเปล่าว่าให้เน้นโรแมนติกเป็นหลัก อันนี้ก็ได้แต่เดาครับ แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าหนังเรื่องนี้ (และอีกหลายๆ เรื่องในสูตรนี้ในระยะหลังนี้) ส่วนใหญ่ก็จะดูได้เพลินๆ แต่ยังไม่กลมกล่อม ยังไม่ลึกซึ้ง ยังไม่ลงตัวครบสูตรแบบหนังโรแมนติกสมัยก่อน
ถ้าอยากดูหนังแนวนี้ (ว่าด้วยตัวเอกตามหาร่องรอยอะไรสักอย่างแล้วบวกด้วยความโรแมนติกกับกินใจ) ผมแนะนำ The Lost Valentine เลยครับผม เรื่องนั้นรับรองถึงรสกว่ากันมาก และเชื่อว่าน้ำตาใครหลายๆ คนต้องไหลระหว่างดูแน่ๆ
สรุปว่าเรื่องนี้ก็ดูได้เพลินๆ ครับ และมีแง่คิดดีๆ เกี่ยวกับความสัมพันธ์และชีวิตคู่สอดแทรกให้คนมีคู่ได้ลองนำไปไตร่ตรองปรับใช้ด้วย
สองดาวกว่าๆ ครับ
(6.5/10)












