ได้ดูจบไปอีกปีครับกับสารคดีแนวไขปริศนาหาคำตอบเรื่องราวลึกลับหรือคดีที่ยังไขไม่ได้ที่ปรากฏอยู่เนื่องๆ ในโลกของเรา

ปีนี้กว่าจะได้ดูครบนี่ก็รอกันนานหน่อยครับ ประมาณว่าช่อง History Channel ในบ้านเราเอาปี 4 มาฉายเมื่อต้นปี (2024) แต่ฉายไปแค่ 10 ตอนครับ ทำเอาค้างเติ่งเลย ต้องรอตั้งหลายเดือนกว่าเขาจะเอามาฉายต่อให้ครบ ซึ่งกว่าจะดูจบนี่ก็ล่อไปเดือนธันวาแน่ะครับ

โดยรวมแล้วปีนี้ก็ยังคงดูสนุกครับ สูสีกับปี 3 เบ็ดเสร็จก็มี 25 ตอน การนำเสนอของแต่ละตอนก็ยังเหมือนเดิม คือเปิดประเด็นขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ ร่ายสมมติฐานความเป็นไปได้ ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร ซึ่งก็สนุกดีครับ ในแง่หนึ่งผมชอบรายการแนวเล่าเรื่องลึกลับอยู่แล้ว และรายการนี้ก็จับประเด็นมาเล่าได้น่าสนใจ ก่อนจะเอามาแจกแจงให้เราเข้าใจว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น มีหลักฐานหรือพยานในแง่ใดบ้าง และที่มาที่ไปของเรื่องมันควรจะเป็นเพราะอะไร

ซึ่งแน่นอนว่าส่วนใหญ่ประเด็นลึกลับต่างๆ ก็ยังไม่อาจหาข้อสรุปได้ครับ แต่การได้พิจารณาทฤษฎีหรือสมมติฐานต่างๆ มันก็สะกิดต่อมคิดในสมองเราได้ไม่น้อยเหมือนกัน ว่าง่ายๆ คือดูไปก็คิดไป ดูไปก็วิเคราะห์ไป ก็เป็นอะไรที่เพลินดีครับ

สำหรับตอนที่ผมชอบในปีนี้ก็มี The Loch Ness Monster ว่าด้วยการไขปริศนาสัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส, The Lost Colony of Roanoke ว่าด้วยการหายไปอย่างลึกลับของชุมชนที่ไปตั้งรกรากอยู่ที่โรอาโนค, The Hunt for Stolen Nazi Treasure ว่าด้วยการตามหาสมบัติที่โดนพวกนาซีชิงไปตอนสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วก็ซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง – หรือหลายแห่ง, The Deadly Bermuda Triangle ว่าด้วยปริศนาแห่งสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า, The Search for El Dorado ว่าด้วยการค้นหานครทองคำในตำนาน เอล โดราโด, The Hunt for Cleopatra’s Missing Tomb ว่าด้วยการตามหาว่าพระศพของพระนางคลีโอพัตรานั้นแท้จริงถูกซ่อนไว้ที่ไหนกันแน่ และ The Lost Gold of WWII ว่าด้วยการตามหาทองคำที่พวกญี่ปุ่นซ่อนไว้ในฟิลิปปินส์ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ก็แจกแจงเหตุผลที่ชอบได้ดังนี้ครับ สำหรับตอน The Loch Ness Monster, The Deadly Bermuda Triangle 2 ตอนนี้ว่าด้วยมหาปริศนาลึกลับที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งผมว่าเรื่องเหล่านี้มีเสน่ห์ครับ ฟังกี่ทีก็สนุก แม้จะฟังเรื่องเดิมซ้ำก็ตาม แต่ก็ยังสนุกอยู่ ส่วนตอน The Lost Colony of Roanoke นี่ บอกตรงๆ ว่านี่เป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมขนลุกเสมอยามได้ยินครับ คิดดู จู่ๆ ผู้คนก็หายไปกันหมดทั้งหมู่บ้านอย่างไร้ร่องรอย คือไม่ว่ามันจะเกิดจากฝีมือมนุษย์หรือเรื่องเหนือธรรมชาติก็ตาม มันก็ยังชวนให้รู้สึกผวาได้อยู่

The Search for El Dorado กับ The Hunt for Cleopatra’s Missing Tomb ตอนนี้สนุกในแง่ได้ฟังแง่มุมทางประวัติศาสตร์ที่หลากหลายครับ อย่างเรื่องเอลโดราโดนี่ ผมชอบที่รายการจุดประเด็นอย่าง การที่ชนพื้นเมืองบอกกันชาวสเปนผู้รุกรานว่ามีนครทองคำ ในแง่หนึ่งก็อาจเพื่อไล่พวกผู้รุกรานเหล่านี้ให้ออกไปจากเมืองของตน ประมาณว่ารู้ว่าพวกสเปนชอบทองคำใช่ไหม อ้า งั้นไปที่โน่นสิ ตรงโน้นเลย มีนครทองคำอยู่ แล้วพวกผู้รุกรานก็จะได้เข้าป่าไปไกลๆ โอกาสกลับมาก็ยาก คือมันมีบริบทแวดล้อมมากกว่าแค่เรื่องการตามหาสมบัติน่ะครับ

หรือเรื่องของพระนางคลีโอพัตราก็มีประเด็นทางการเมืองสอดแทรกอยู่ตลอดในแต่ละการกระทำ ไม่ว่าจะทางฝั่งอียิปต์หรือโรมันก็ตาม ทำให้ตระหนักเลยครับว่าเรื่องการเมืองนี่มันมีในสังคมมานานแสนนาน โดยเฉพาะการวางหมาก การชวนเชื่อ หรือการจูงใจประชาชน มันเป็นอะไรที่ชนชั้นปกครองเขาทำกันมาตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว เพียงแต่เราต้องพิจารณาให้ลึก ไม่ได้ฟังเพียงระดับผิวของตำนานหรือเรื่องเล่าเท่านั้น

ส่วนตอน The Hunt for Stolen Nazi Treasure กับ The Lost Gold of WWII อันนี้ชอบเพราะแม้สุดท้ายแล้วเราอาจไม่ได้คำตอบว่าสมบัติทั้งหมดอยู่ที่ไหน แต่เราจะได้ทราบประวัติศาสตร์ว่า มันเคยมีการค้นพบสมบัติบางส่วนจริงๆ ว่าง่ายๆ คือเรื่องนี้มีอยู่จริงน่ะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องลอยๆ มันดูจับต้องได้ และมันสะท้อนให้เห็นถึงมิติความโลภความอยากของมนุษย์ได้อย่างดี

สรุปว่าสนุกครับ ใครชอบสารคดีแนวนี้ก็ลองไปชมกันดู

สองดาวครึ่งๆ กว่าครับ

(7.5/10)