Horror

Salem’s Lot (2024) ท้าสู้ผีนรก

Untitled08111

Salem’s Lot คือนิยายแนวสู้กับแวมไพร์ของ Stephen King ที่สนุกมากๆ เรื่องหนึ่งครับ อ่านแล้วติดสุดๆ อีกทั้งความตื่นเต้นก็ไต่ระดับจากตอนเริ่มแบบเนิ่บๆ แล้วก็ไล่ไปจนถึงตอนท้ายที่ทั้งตื่นเต้นทั้งลุ้น จนบอกได้เลยว่าสมเป็นหนึ่งในนิยายยุคต้นๆ ของ King ที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่างยิ่ง

ส่วนเรื่องนี้ก็ถือเป็นการดัดแปลงมาเป็นหนังเป็นรอบที่ 3 แล้วครับ รอบแรกคือปี 1979 ที่ทำออกมาเป็นมินิซีรี่ส์ ฉบับนั้นมีดีตรงบรรยากาศสยองแบบเย็นเยียบตามสไตล์หนังเก่าๆ ฉบับนั้นเรตติ้งดีมากจนมีภาคต่อตามออกมา (ซึ่งก็แน่นอนว่าสนุกสู้ภาคแรกไม่ได้) – รอบต่อมาคือปี 2004 ที่ออกมาเป็นมินิซีรี่ส์เหมือนกัน ฉบับนี้มาพร้อมโทนฉับไวและการเล่นกับสีสันทำให้หนังดูทันสมัย แต่ถ้าว่าโดยรวมแล้วก็ยังลงตัวสู้ของเก่าไม่ได้

สำหรับฉบับนี้ก็ยังคงเรื่องราวหลักๆ เอาไว้ครับ นั่นคือ เบน เมียร์ส (Lewis Pullman) นักเขียนที่ตัดสินใจกลับมาเยือนเมืองบ้านเกิดอย่างเซเล็มส์ ล็อต เขาได้เจอสาวถูกใจอย่างซูซาน นอร์ตัน (Makenzie Leigh) และผูกมิตรกับครูชื่อแมท เบิร์ก (Bill Camp) แต่แล้วพวกเขาก็พบเงื่อนงำอันน่าสะพรึงหลังจากเด็กคนหนึ่งหายตัวไป แล้วต่อมาไม่นานพี่ของเด็กคนนั้นก็มาเสียชีวิตไปอีก – และในทีสุดพวกเขาก็ตระหนักว่า แวมไพร์ที่ร้ายกาจได้มาเยือนเมืองเซเล็มส์ ล็อตแล้ว

หลังดูจบสิ่งแรกที่ผุดขึ้นในใจเลยก็คือ ถ้าสามารถเอาครึ่งแรกของฉบับปี 1979 มาบวกเข้ากับครึ่งหลังของฉบับนี้ แล้วเสริมด้วยเรื่อง “ปมของเบนเกี่ยวกับคฤหาสน์มาร์สเทน” ตามการนำเสนอแบบฉบับปี 2004 มันจะเป็นอะไรที่เจ๋งมากครับ ว่าง่ายๆ เลยคือฉบับนี้ครึ่งหลังทำออกมาได้ค่อนข้างมันส์ มีลุ้นและชวนติดตาม อันนี้ค่อนข้างถูกใจอยู่ คือมันอาจยังไม่ถึงขั้นมันส์เท่านิยายนะ แต่ก็ถือว่ามันส์ใช้ได้ การไต่ระดับความลุ้นก็ถือว่าโอเค ฉากต่อกรกับแวมไพร์แต่ละรอบก็ทำได้เข้าท่า โดยเฉพาะไม้กางเขนที่เปล่งแสงนั่นทำให้ดูมีพลังดี เรียกว่าคอหนังแวมไพร์สายลุ้นปราบผีนี่น่าจะโอเคอยู่บ้าง

เพียงแต่ครึ่งแรกของฉบับนี้ความน่าสนใจอาจยังไม่เยอะครับ ซึ่งจะต่างจากฉบับปี 1979 ที่ครึ่งแรกหนังปูพื้นได้ดี มีปมและมีรายละเอียดชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะเรื่องของเบนและประสบการณ์สยองในคฤหาสน์มาร์สเทน ในขณะที่ฉบับนี้หนังเลือกที่จะตัดปูมหลังหลายๆ อย่างของเบนออกไป มันเลยทำให้เบนในฉบับนี้ดูไม่ค่อยเด่น ไม่ค่อยดูเป็นศูนย์กลางของเรื่องราวเท่าฉบับก่อนๆ – อีกอย่างคือปมเกี่ยวกับคฤหาสน์มาร์สเทนนั้นจริงๆ ก็มีความน่าสนใจอยู่ และปมที่ว่านี่ยังสามารถอธิบายเหตุผลที่ว่าทำไมสเตรเกอร์กับบาร์โลว์ถึงเลือกคฤหาสน์แห่งนี้เป็นที่อยู่ใหม่

Untitled08112

แต่กระนั้นหนังก็พอจะชดเชยด้วยภาพสวยๆ การเล่นแสงเล่นสีในฉากต่างๆ และตัวละครอื่นๆ (นอกจากเบน) ก็ดูจะเด่นขึ้นมา ไม่ว่าจะซูซานที่ดูน่ารักและฉะฉานขึ้น จนไม่แปลกใจเลยที่เบนจะชอบเธอ หรือแมทเองก็ดูช่างคิดช่างวิเคราะห์เรื่องต่างๆ และอีก 2 รายที่เด่นไม่น้อยหน้าก็คือ มาร์ค (Jordan Preston Carter) หนุ่มน้อยนักสู้ที่พร้อมออกโรงท้าสู้ผีนรก และคุณหมอโคดี้ (Alfre Woodard) ที่ขโมยซีนได้พอดูในช่วงหลัง

หนังกำกับโดย Gary Dauberman ที่รับหน้าที่ดัดแปลงจากนิยายมาเป็นบทหนังด้วย (เขาเคยดัดแปลงบท It ทั้ง 2 ภาคมาก่อนด้วยครับ) ซึ่งการเดินเรื่องก็ฉับไวอยู่ครับ เพียงแต่การเล่าเรื่องครึ่งแรกอาจยังไม่กลมกล่อมเต็มที่ แต่ก็ยังดีที่ครึ่งหลังหนังทำได้ค่อนข้างลุ้น และถ้าจะมีอะไรที่ผมชอบในหนังฉบับนี้ก็คงเป็นประเด็นหลายๆ อย่างที่หนังใส่ลงมาแบบชวนให้คิดตาม

อย่างภาพของเมืองเซเล็มส์ ล็อตที่ฉบับนี้ค่อนข้างชัดเลยว่าเมืองนี้กำลังอยู่ในสภาพเหลวแหลก (ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง) เป็นเมืองที่คนดีไม่กล้าออกเสียง แต่คนไม่ดีกลับกล้าจะออกหน้าข่มคนอื่น ขนาดในโรงเรียนมีเด็กนักเรียนตีกันแบบจะๆ ตากลางสนาม แต่ครูก็ยังทำเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรืออย่างดีก็แค่ตักเตือนว่าอย่านะๆ แต่ไม่สอนแบบใส่ใจเป็นเรื่องเป็นราว

ที่ชัดสุดคือตอนที่นายอำเภอพาร์กินส์ กิลเลสพี (William Sadler) วิพากษ์เมืองนี้แบบตรงๆ ว่า “ก็เพราะเป็นกันอย่างนี้แหละ ความชั่วร้ายมันถึงเบ่งบาน” และในขณะที่พาร์กินส์วิพากษ์สังคมในเมืองเซเล็มส์ ล็อตอยู่เป็นพักๆ แต่พฤติกรรมพี่ท่านเองที่เราเห็นก็เหมือนเป็นการวิพากษ์คนที่ชอบวิพากษ์ แต่ไม่ทำอะไรเลยนอกจากบ่นและหนีปัญหาเอาตัวรอด – ตัวละครนี้จัดว่าคงเส้นคงวา เป็นแบบนี้เหมือนกันในทุกฉบับ หรือกระทั่งตัวแทนศาสนาอย่างคุณพ่อคัลลาแฮน (John Benjamin Hickey) ก็ยังรู้สึกสูญสิ้นศรัทธาเอาแต่ร่ำสุราและหลบปัญหาอยู่บ่อยๆ

โดยส่วนตัวมองว่าประเด็นนี้น่าสนใจ แต่ก็นั่นล่ะครับ คงเพราะเนื้อที่ให้เล่าเรื่องมันมีน้อย และต้องแบ่งพื้นที่ให้กับฉากสยองเป็นหลัก ประเด็นนี้เลยถูกนำเสนอแบบแตะๆ แค่ผิวๆ ไม่ถึงขั้นลงลึกแบบเต็มตัว – อดคิดไม่ได้ว่าถ้าฉบับนี้ทำออกมาเป็นมินิซีรี่ส์หรือให้มันยาว 3 ชั่วโมงอีกสักครั้งครา เราอาจจะได้เห็นแง่มุมชวนคิดเหล่านี้มากขึ้นก็เป็นได้

โดยรวมก็ตามนั้นครับ ครึ่งแรกจัดว่ากลางๆ ส่วนครึ่งหลังก็ค่อยมันส์หน่อย ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะผมไม่ได้คาดหวังอะไรเลยทำให้เพลินไปกับหนังอยู่ แต่คิดว่าคนที่ชอบหนังแนวสู้กับแวมไพร์ก็น่าจะโอเคกับเรื่องนี้ครับ

สองดาวกว่าๆ ครับ

Star21

(6.5/10)