Comedy

I’ll See You In My Dreams (2015) จะเจอกันในฝันของเรา

Untitled08108

ผมรั้งรอที่จะดูหนังเรื่องนี้นานพอสมควรครับ รู้ตัวอีกทีมันจะออกจาก Netflix 15 ตุลานี้แล้ว ดังนั้นเลยรีบคาบมาบอกเลยครับว่าหากใครชอบหนังที่บอกเล่า “ช่วงหนึ่งของชีวิตคน” ล่ะก็ ผมขอกราบงามๆ เรียนเชิญให้ท่านดูหนังเรื่องนี้กันโดยพลันเลยครับ

ตัวเอกของเรื่องคือ แครอล ปีเตอร์สัน (Blythe Danner) หญิงม่ายที่สามีจากโลกนี้ไปเมื่อ 20 ปีก่อน ส่วนลูกสาวก็ย้ายออกไปแล้ว เธอเลยต้องใช้ชีวิตลำพังเป็นส่วนใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้เจอกับลอยด์ (Martin Starr) หนุ่มล้างสระที่ดูจะถูกชะตากับเธอ แล้วยังได้เจอกับ บิลล์ (Sam Elliott) หนุ่มใหญ่รุ่นราวคราวเดียวกันที่ทำท่าอยากจะรู้จักมักจี่กับเธอ ทีนี้ล่ะครับ จังหวะชีวิตที่เคยเรื่อยๆ ของแครอลก็เลยเปลี่ยนไป

ของดีอย่างแรกคือดาราครับ แต่ละท่านที่มานี่ล้วนมีฝีมือและเหมาะกับบททั้งสิ้น อย่าง Danner นี่เธอมืออาชีพอยู่แล้วครับ บททำนองนี้เล่นได้ลื่นหายห่วง ตามด้วย Elliott ที่แม้อายุจะหลัก 7 แล้วก็ตาม แต่ความเท่ห์ยังคงดีไม่มีตก ดูแล้วสมเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ ส่วน Starr ก็ถือว่าไปได้ดีเลยครับกับบทหนุ่มที่มาสานสัมพันธ์กับสาวสูงวัย ซึ่งอย่างหนึ่งที่ผมชอบเลยคือดูแล้วเชื่อน่ะครับ ว่าลอยด์กับแครอลมีสายใยบางอย่างสานเข้าหากัน จูนเข้ากันได้จริงๆ เรียกว่าดาราหลักๆ นี่แคสมาได้เหมาะเลยครับ

ส่วนบทสมทบนี่ก็ลืมไม่ได้ โดยเฉพาะ 3 เพื่อนซี้ของแครอลที่รับบทโดย June Squibb, Rhea Perlman และ Mary Kay Place แต่ละคนนี่ลีลาล้วนน่าจดจำ ดูแล้วเชื่อได้ไม่ยากว่าพวกเธอซี้กันแค่ไหน แต่ละคนก็จะมีวาระขโมยซีนของตัวเอง โดยเฉพาะ Squibb นี่เล่นได้เนียนมากๆ กับฉากที่เธอเมาครับ (เมาอะไรต้องไปดูเอง) คือดูแล้วเชื่อจริงว่าป้าเขาเมาไปแล้วแน่นอน ฉากที่ว่านี่ก็เรียกเสียงฮาได้ไม่น้อยเหมือนกัน แล้วก็ยังมี Malin Akerman รายนี้รับบทลูกสาวของแครอลครับ บทอาจไม่เยอะนะครับ แต่การมาของเธอก็สร้างอารมณ์อบอุ่นได้กำลังเหมาะ อีกทั้งยังทำให้เราได้เห็นมุมความเป็นแม่ของแครอลอีกด้วย

หากใครตามอ่านที่ผมเขียนมาก็คงทราบดีครับว่าผมชอบหนังแนวนี้มากขนาดไหน อารมณ์เหมือนเราอ่านเรื่องสั้นน่ะครับ ได้รับรู้ตามติดช่วงหนึ่งของชีวิตใครสักคน ได้สัมผัสห้วงอารมณ์และห้วงความคิด ได้เห็นยามสุขและยามเศร้า สำหรับผมแล้วมันเหมือนทำให้เราได้เรียนรู้อะไรๆ เกี่ยวกับความคิดและจิตใจของมนุษย์มากขึ้น เป็นการเปิดโลกของเราให้กว้างขึ้นในอีกทางหนึ่ง

Untitled08109

หรือไม่ในบางประสบการณ์ที่ตัวละครเจอ เราก็สามารถเรียนรู้วิธีคิดของเขา สามารถสมมติเอามาถามตัวเราเองก็ได้ ว่าหากเราเจอเรื่องแบบที่เขาเจอ เราจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของคนที่สูงวัยกว่าเราน่ะครับ สำหรับผมนี่ถือเป็นเรื่องที่น่าศึกษานะ เพราะหากเรามีชีวิตอยู่ต่อไปจนแก่ได้ เราก็คงต้องเจอในสิ่งที่ตัวละครสูงวัยเจอ ไม่ว่าจะความสูญเสีย, ความเหงา, การรำลึกถึงวันวาน (ที่อาจดูสดใสกว่าวันนี้), การคิดถึงคนที่จากไป ฯลฯ ซึ่งถ้าใครอายุพอๆ กับตัวละครในหนังก็คงเข้าใจพวกเขาได้ไม่ยาก ส่วนใครที่อายุน้อยกว่า ผมว่าการเรียนรู้ชีวิตยามสูงวัยก็ให้อะไรกับเราได้ไม่น้อย อย่างน้อยก็เพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เตรียมรับกับสิ่งที่หนีไม่พ้น ซึ่งผมมองว่าอะไรแบบนี้คือกำไรคิดครับ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่เสียหลาย

แล้วตัวหนังเองก็ถือว่าเล่าได้ดีด้วยครับ เล่าแบบเรื่อยๆ แต่ก็น่าติดตาม ดูสนุก ซึ่งพอเหลือบมองชื่อผู้กำกับ Brett Haley ผมก็รู้สึกคุ้นชื่อเขาในทันที ครั้นพอไปค้นประวัติก็พบว่าผมดูหนังพี่แกไปหลายเรื่องครับ แล้วที่สำคัญคือผมชอบทุกเรื่องเลยด้วย เรื่องแรกของเขาที่ผมดูก็คือ All Together Now หนังวัยรุ่นวัยเรียนของ Netflix ซึ่งก็สนุกดีครับ จากนั้นก็มีโอกาสได้ดู Hearts Beat Loud ผ่านทาง True เรื่องนี้ก็ออกแนว “ช่วงหนึ่งของชีวิตคน” เช่นกัน แล้วหนังก็สนุกครับ สนุกบนความเรียบง่าย กินใจแบบซึมลึกอะไรประมาณนั้น

ครั้นมาถึงเรื่องนี้ซึ่งเป็นงานหนังยาวชิ้นที่ 2 ของเขา ผมก็ชอบอีกเช่นกันครับ ทุกอย่างมันกลมกล่อมพอเหมาะพอดี ครบรสทั้งสนุก ทั้งอึมครึม ทั้งยิ้มแย้มและเศร้าซึมหงอยเหงา แล้วผมก็ดีใจครับที่ได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จอยู่ รายได้นี่ได้ไปราวๆ $7.4 ล้าน จากทุนราวๆ $1 ล้าน ก็ถือว่าไม่เลวเลยครับสำหรับหนังเล็กๆ แบบนี้

ดูแล้วรู้สึกอิ่มครับ อิ่มแบบพอดีๆ ดาราดี เรื่องราวน่าสนใจ ครบรสครบชาติ ดนตรีก็ดี (โดย Keegan DeWitt) งานภาพก็ดี (โดย Rob Givens) นี่อาจไม่ใช่หนังที่เลิศเลอครับ แต่ดูแล้วอิ่ม ดูแล้ว Feel Good ดูแล้วทำให้ตระหนักและเข้าใจอะไรๆ ในชีวิตมากขึ้น โดยเฉพาะคำกล่าวที่ว่า “ชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน”

และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากบันทึกไว้ก็คือ ผมรั้งรอในการดูหนังเรื่องนี้มานานโขอยู่ครับ จริงๆ คือมาร์คหนังเรื่องนี้ไว้ในรายการของฉันตั้งแต่วันแรกที่เห็นใน Netflix แต่ก็รอครับ รอแล้วรอเล่า รอจนเขาจะถอดออกถึงเพิ่งจะเอามาดู ครั้นพอได้ดูก็ตระหนักเลยครับว่าถ้าไม่มีดูเรื่องนี้ผมคงเสียดายแน่ๆ และอีกอย่างคือก่อนที่ผมจะดูหนังเรื่องนี้นั้น ผมหยุดการเขียนบทความเกี่ยวกับหนังไปนานพอดู มันรู้สึกเหมือนนิ่ง อิ่มตัว จนไม่รู้จะเขียนอะไร จะว่าตันก็ไม่ใช่ – Burn Out ก็ไม่เชิง – มันรู้สึกเหมือนเราถูก Pause ด้วยอะไรบางอย่าง

แต่พอผมได้ดูหนังเรื่องนี้จบ ความรู้สึกอยากเขียนมันพรั่งพรูครับ หัวมันแล่น ใจมันลื่น ความอยากเขียนมันฟื้นคืนมาจนสัมผัสได้ และที่สำคัญคือมันทำให้เรารู้สึก “เขียนไปสุขไป” ซะด้วยสิ

Untitled08110

ผมเลยอยากบันทึกไว้ครับ เผื่อใครอ่านถึงตรงนี้ (ซึ่งก็คงมีไม่เยอะ 555) แล้วหากพอดีว่าท่านเกิดห้วงอารมณ์ตันๆ – Pauseๆ หรือ Burn Outๆ กับสิ่งที่ท่านทำอยู่ ผมอยากให้ท่านให้เวลาตัวเองสักนิด ไปทำอะไรอย่างอื่นสักพัก แล้วจากนั้นก็ลองหันมาทำในสิ่งที่ท่านรู้สึก Pause ดูอีกสักหน เช่น ถ้ารู้สึก Pause กับการอ่านก็ให้หาหนังสือสักเล่มที่อยากอ่านมานานแล้วเอามาอ่านดู หรือท่านใดรู้สึก Pause กับการร้องเพลงก็ให้ลองร้องเพลงอะไรสักเพลงที่ท่านอยากร้อง หรือถ้าเป็นการทำอาหารก็ลองทำเมนูที่มันวนเวียนอยู่ในหัวท่าน แต่ยังไม่ได้ลงมือทำสักที ก็ลองทำมันดูครับ ลองทำมันไปเลยแม้ว่าเราจะรู้สึกว่า “ยังไม่พร้อม” หรือ “ยังไม่อยาก” ก็ตาม

ไม่แน่ครับ สิ่งเหล่านั้นอาจทำให้ท่านหลุดออกจากเขต Pause ที่ว่านั่นก็เป็นได้ – หลุดไม่หลุดเปล่าครับ แต่ไฟในตัวท่านจะลุกโชนขึ้นมา พร้อมความรู้สึกดีๆ อีกด้วย

เพราะบางครั้ง ฤกษ์ที่งามยามที่ดีที่สุดในการทำบางสิ่ง คือ “เดี๋ยวนี้” ครับ

กลับมาที่เรื่องหนังนะครับ สรุปคือผมชอบครับ ดูแล้วมีความสุข ดูแล้วชวนให้คิดไปถึงวันข้างหน้า (เพราะผมอยู่ในวัยกลางคน) ว่าเมื่อเราแก่ตัวไป เราจะต้องเจอกับอะไร และเราจะเตรียมพร้อมรับกับสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง

และเกณฑ์ง่ายๆ อย่างหนึ่งในการวัดว่าหนังแนว “ช่วงหนึ่งของชีวิตคน” เรื่องนั้นๆ มันดีหรือไม่ สำหรับผมก็คือ พอดูจบแล้วมันเกิดห้วง “หนังจบอารมณ์ไม่จบ” หรือไม่ ประมาณว่าดูแล้วอิน ดูแล้วคิดต่อ หรือดูแล้วรู้สึกลึกๆ ในใจว่าเรื่องราวแบบนี้อาจกำลังเกิดขึ้น ณ ที่ใดที่หนึ่งบนโลกนี้ก็ได้ – หากรู้สึกได้แบบนั้น แสดงว่าหนังมีดีครับ – และใช่ครับ เรื่องนี้ก็มีดีแบบนั้นน่ะแหละ

เกร็ดที่อยากเล่าเกี่ยวกับหนังก็คือ หนังเรื่องนี้ใช้เวลาเขียนบท 2 สัปดาห์ครับ และใช้เวลาถ่ายทำราว 18 วัน

และภาพถ่ายในหนังตอนที่ลูกสาวของแครอลเอามาให้เธอดูนั้น ในภาพนั้นคือภาพจริงของครอบครัว Blythe Danner ครับ ผู้ชายในภาพก็คือ Bruce Paltrow สามีตัวจริงของเธอ (ที่จากไปในปี 2002) ส่วนหนูน้อยในภาพก็คือ Gwyneth Paltrow ลูกสาวในชีวิตจริงของเธอนั่นแหละครับ

และผู้ชายที่ขึ้นไปร้องคาราโอเกะก่อนที่ลอยด์จะขึ้นไปร้องนั้น เขาก็คือ Brett Haley ผู้กำกับหนังเรื่องนี้นั่นเอง

สองดาวกับสามส่วนสี่ดวงครับ

Star22

(7.5/10)