Fantasy

Fantasy Island (2020) แฟนตาซี ไอส์แลนด์

Untitled07982

แรกเริ่มเดิมที Fantasy Island คือซีรี่ส์ในยุค 70 ที่ออกแนวฟีลกู้ดครับ เนื้อเรื่องแต่ละตอนก็จะว่าด้วยเกาะมหัศจรรย์ที่ผู้ไปเยือนจะได้พบเรื่องราวชวนประทับใจ ได้พบเรื่องโรแมนติกหวานแหวว หรือไม่ก็ได้แง่คิดชีวิตติดตัวกลับมา ในขณะที่ฉบับนี้ได้มีการดัดแปลงให้เป็นแนวลึกลับสยองขวัญแทน จนไม่น่าแปลกใจที่แฟนซีรี่ส์ของเก่าจะไม่โอนัก และมีเสียงเชิงลบต่อหนังฉบับนี้ออกมาค่อนข้างเยอะ

ผู้สร้างอย่าง Blumhouse เองก็คงจะตระหนักถึงเรื่องนี้ครับ เลยมีการจั่วหัวตรงชื่อหนังฉบับนี้ไว้ว่า Blumhouse’s Fantasy Island ก็เป็นการบอกกล่าวว่านี่เป็นฉบับของ Blumhouse ไม่ได้เกี่ยวกับฉบับดั้งเดิม เป็นการเอาชื่อและโครงสร้างมาเฉยๆ นอกนั้นก็ด้นและตั้งต้นใหม่

หนังว่าด้วยนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งที่ได้รับเชิญมายังเกาะแฟนตาซี ไอส์แลนด์ ที่ซึ่งทุกความฝันของผู้มาเยือนจะเป็นจริง ตอนแรกพวกเขาก็ตื่นตาตื่นใจล่ะครับ เมื่อความฝันของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมาด้วยพลังมหัศจรรย์ของเกาะแห่งนี้ แต่พอเวลาผ่านไปสักพักพวกเขาก็เริ่มตระหนักได้ว่าฝันที่พวกเขากำลังเผชิญมันออกแนวฝันร้ายมากกว่า จากนั้นก็ต้องมาหาทางเอาชีวิตรอดจากเกาะนี้กันตามระเบียบ

อาจเพราะผมเจอคำบ่นที่มีต่อหนังฉบับนี้มาเยอะจนไม่คาดหวังอะไรครับ แล้วผมก็ชอบหนังแนวมิติพิศวงแบบ The Twilight Zone อยู่แล้วด้วย เลยกะเสพความลึกลับพิศวงเป็นหลัก ซึ่งหนังก็ถือว่าโอเคอยู่ครับ มันอาจไม่ถึงกับยอดเยี่ยมเด็ดดวงอะไร แต่ก็ตอบโจทย์ความเป็นหนังลึกลับเหนือธรรมชาติได้เข้าท่าอยู่

ว่ากันว่าหนังฉบับนี้มีการตีความ Fantasy Island ใหม่โดยได้แรงบันดาลใจมาจาก The Cabin in the Woods และ ซีรี่ส์ Westworld ครับ ซึ่งถ้ามองจากแนวทางนั้นก็ถือว่าหนังทำได้อยู่ มีปมให้เราตาม มีความลึบลับให้เราเกิดคำถาม แล้วก็มีการเฉลยอะไรต่อมิอะไรในตอนท้าย ซึ่งสำหรับผมแล้วหนังถือว่าทำหน้าที่ได้โอเค เพียงแต่หากมาย้อนคิดพิจารณาดีๆ แล้วก็อาจพบว่าบทหนังมีจุดที่ยังไม่เนียนหรือยังไม่เคลียร์อยู่บ้าง แต่ถ้าไม่คิดมากจะมองข้ามไปก็พอได้อยู่ครับ

Untitled07983

ส่วนดารานั้นจริงๆ ผมว่าพวกเขาแสดงได้ดีนะ ไม่ว่าจะ Michael Peña, Maggie Q, Lucy Hale, Austin Stowell, Jimmy O. Yang,
Ryan Hansen และ Michael Rooker แต่ก็ยอมรับครับว่าการเล่าเรื่องในบางจังหวะ หรือบางประเด็นของบทมันก็ทำให้หนังแอบสะดุดอยู่เหมือนกัน ดังนั้นผมว่าโทนเรื่องแนวสยองนั้นไม่เชิงเป็นปัญหาหรอกครับ แต่ตรงบางจุดของบทมากกว่าที่ส่งผลให้หนังสนุกมาก-สนุกน้อยสำหรับความรู้สึกของบางท่าน แต่ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหละ หากจะคิดข้ามๆ ไปบ้าง หนังก็ยังพอเพลินได้อยู่

แต่ถ้าถามว่าผมชอบอะไรมากสุดก็คงต้องยกให้บรรยากาศงามๆ ของฟิจิน่ะครับ หลายซีนนี่ธรรมชาติสวยแบบตาค้างเลยนะ คนชอบดูหนังดูวิวอย่างผมก็ถูกใจสิ่งนี้ล่ะครับ ยิ่งหนังสมัยนี้ถ่ายภาพได้คมชัดด้วย ความสวยยิ่งทะลุทะลวงจอไปกันใหญ่

หนังกำกับโดย Jeff Wadlow แห่ง Truth or Dare ซึ่งผมว่าผมโอกับเรื่องนี้มากกว่าเรื่องนั้นครับ คือการเล่าเรื่องกับบรรยากาศนี่จริงๆ ใช้ได้ เพียงแต่มันอาจยังไม่กลมกล่อมลงตัวแบบเต็มๆ แต่ก็อย่างที่บอกน่ะครับ ใครโอกับแนว The Twilight Zone ก็อยากให้ลองลิ้มเรื่องนี้ดูเผื่อจะโอเคแบบที่ผมเป็น

ส่วนแง่คิดที่ได้จากติดตัวมาจากหนังอย่างแรกเลยคือ บางทีอดีตก็จองจำเราไว้ หรือไม่ก็ตัวเรานี่แหละที่จองจำตนเองไว้ด้วยอดีต – อดีตนั้นไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการจองจำตัวเองครับ แต่เราควรใช้อดีตเป็นครู ใช้อดีตเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับตนเองและสิ่งรอบตัว เพื่อเรียนรู้ว่าเราควรก้าวต่อไปอย่างไร – อดีตจะเป็นอะไรสำหรับเรานั้น ก็อยู่ที่เราจะใช้มันแบบไหนนั่นแหละครับ

อีกเรื่องก็คือ บางครั้งเราเลือกที่จะปฏิเสธโอกาสที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะกลัวว่ามันจะลงเอยไม่สวย หรือไม่ก็คิดว่าเรานั้นไม่คู่ควร เลยปฏิเสธมันไปเลยดีกว่า – เรื่องนี้เข้าใจได้ครับ ว่าเราอาจไม่มั่นใจในตนเอง หรือไม่มั่นใจในอะไรบางอย่าง หรือมันอาจมีอะไรที่เราสังเกตเห็นอยู่โต้งๆ ว่าเราไม่เหมาะกับโอกาสนี้หรอก ดังนั้นการเลือกที่จะตัดใจไปเลยแต่แรก นั่นน่าจะเป็นการตัดสินใจที่ปลอดภัยกว่า – ว่าง่ายๆ คือไม่อยากเสี่ยงนั่นเอง

แต่มันก็ยังมีอีกบางโอกาสครับ ที่มันยัง 50/50 มันมีโอกาสจบลงด้วยดี-ไม่ดีแบบครึ่ง-ครึ่ง แต่เรากลับปฏิเสธมันเพียงเพราะกลัวเกินไป เพียงเพราะในหัวเราวาดภาพมันในเชิงลบเกินไป – ยามเราเจอกับอะไรแบบนี้ ถ้าจะให้ดีก็อย่าเพิ่งด่วนปฏิเสธครับ และขณะเดียวกันไม่จำเป็นต้องตอบตกลงในทันทีเช่นกัน แต่เรายังประวิงเวลาได้ ขอเวลาในการพิจารณาและตัดสินใจก่อนได้ – บางเรื่องที่สำคัญมันก็ต้องคิดพิจารณาให้มากสักหน่อย และเราควรมีเวลาในการพิจารณาครับ

เพราะบางโอกาสที่ผ่านเข้ามา เมื่อมันผ่านไปแล้ว ก็จะผ่านเลยไป และเราอาจเกิดคำถามค้างคาในใจไปจนตลอดชีวิต – ใจเย็นกับมันสักหน่อยครับ

เกร็ดหนังที่อยากบอกคือตอนแรกนั้นผู้อำนวยการสร้าง Jason Blum อยากได้ Nicolas Cage มาแสดงเป็นคุณโร้ค ชายลึกลับผู้ดูแลเกาะครับ แต่ Cage ก็บอกปัดไป อันนี้แอบเสียดายนะ ผมว่าพี่แกเหมาะกับบทนี้ไม่น้อยเลย และอีกคนที่เกือบได้มาเล่นก็คือ Dave Bautista ครับ ถูกวางตัวให้มาเป็นเดมอน (ที่ Rooker แสดง) แต่พอดี Bautista คิวเต็มตอนนั้นพอดี เลยต้องโบกมืออำลา

แต่ในแง่รายได้นี่กำไรสวยๆ เลยครับ ทำเงินทั่วโลกไป $49 ล้านซึ่งอาจดูไม่เยอะนะครับ แต่ทุนสร้างน่ะแค่ $7 ล้านเท่านั้น

สรุปว่าใครชอบดูหนังลึกลับเหนือธรรมชาติพร้อมซ้อนปมปริศนาแบบ The Twilight Zone ก็ลองดูได้ครับ ถ้าไม่คาดหวังก็น่าจะพอเพลินอยู่ และที่สำคัญคือต้องไม่เปรียบกับฉบับดั้งเดิม ให้มองว่าเป็นคนละเรื่องกันไปเลยครับ

สองดาวครับ

Star21

(6/10)