
พูดแบบไม่อ้อมค้อมคือค่อนข้างเฉยกับภาคนี้ครับ ไม่ได้รู้สึกสนุกหรือครื้นเครงแบบที่มักจะรู้สึกเสมอยามดู Ghostbusters ภาคก่อนๆ
ภาคนี้เหล่านักกำจัดผีต้องมารวมพลังกันสู้กับปีศาจตัวใหม่ซึ่งดูจะแกรนด์ไม่ใช่น้อยเพราะสามารถทำให้ทั้งเมืองเป็นน้ำแข็งได้ แต่กลายเป็นว่าหนังค่อนข้างธรรมดา ปมต่างๆ และการเดินเรื่องออกแนวเรื่อยๆ หรือตอนสู้กับตัวร้ายก็ไม่ได้มีลุ้นอะไรมากนัก ว่าแบบตรงๆ คือฉบับการ์ตูนบางตอนยังดูสนุกและมีลุ้นกว่านี้
ผมรู้สึกว่าหนังไปผิดทางน่ะครับ จริงๆ ภาคก่อนมันปูพื้นมาดีแล้วนะเกี่ยวกับเรื่องความรักในครอบครัว และการส่งต่อมรดกจากคนรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ ผมว่ามันคือไฮไลท์ที่ทำให้ภาค Afterlife ดูอบอุ่นและสามารถคืนชีพให้กับหนังชุดนี้ได้สำเร็จ ไหนจะเปิดประเด็นที่ว่าวินสตัน (Ernie Hudson) รักบริษัทกำจัดผีแค่ไหน จนผมแอบคิดไปว่าภาคนี้น่าจะสานต่อประเด็นความรักความผูกพัน ไม่ว่าจะในครอบครัวสแปงเลอร์ หรือระหว่างฟีบี้กับเหล่านักกำจัดผีรุ่นเก่า ไม่ว่าจะปีเตอร์ (Bill Murray), เรย์ (Dan Aykroyd), วินสตันและจานีน (Annie Potts) ที่น่าจะมีอะไรให้สานสายใยกันเยอะอยู่
แต่มาภาคนี้หนังดันออกมาในเชิงว่าครอบครัวสแปงเลอร์ดูจะห่างๆ เหินๆ กัน บทบาทของคุณแม่คัลลี่ (Carrie Coon) และเทรเวอร์ (Finn Wolfhard) มีไม่เยอะ และหนังก็ไม่ได้อธิบายชัดๆ ว่าทำไมพวกเขาดูจะไม่ค่อยมีเวลาและไม่ค่อยจะใส่ใจฟีบี้ (Mckenna Grace) จนทำให้ฟีบี้ต้องไปนั่งเล่นหมากรุกคนเดียว ทั้งที่ทุกคนก็เห็นอยู่ว่าฟีบี้เองก็กำลังเจอเรื่องทุกข์ใจ
และถ้าตีความเอาจากภาพเท่าที่เห็น มันก็สื่อไปในทางที่ว่าฟีบี้เองก็ไม่ได้สนิทกับเรย์หรือพอดแคสต์ (Logan Kim) ด้วย ไม่งั้นทำไมเธอถึงไม่ไปปรับทุกข์กับเรย์ (ที่มีประสบการณ์เป็นนักกำจัดผีมาก่อน + ซี้กับอีกอน + เคยผ่านการมีเรื่องกับทางการ โดนสั่งห้ามปราบผีตั้งหลายหน) หรือพอดแคสต์ (ที่เคยผ่านอะไรด้วยกันมาตั้งแต่คราวก่อน) แต่กลับเลือกที่จะไปเล่นหมากรุกเพียงลำพัง และลงเอยด้วยการคบหากับผีตนหนึ่งแทน

และที่หนักเลยคือการตัดสินใจของฟีบี้ที่ทำให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตในช่วงหลัง อันนี้สารภาพเลยครับว่าระหว่างดูนี่ผมไม่สนใจอยากรู้ประวัติของปีศาจประจำภภาคเลยนะ แต่ผมอยากรู้มากกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟีบี้ อะไรที่นำพาเธอมาสู่จุดที่ตัดสินใจอะไรแบบนั้น? – ถึงจุดนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองอินกับจักรวาล Ghostbusters มากนะ แต่ดันรู้สึกต่อไม่ติดกับหนังภาคนี้แฮะ
แล้วจริงๆ หนังน่ะมีประเด็นที่สามารถสร้างสายใยปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวละครได้ อย่างการที่แกรี่ (Paul Rudd) อยากได้รับการยอมรับจากฟีบี้และเทรเวอร์ เนื่องจากเขากำลังคบหากับคัลลี่อยู่ หรือตัวละครใหม่อย่างนาดีม (Kumail Nanjiani) จริงๆ เรื่องของเขาก็สามารถเล่นกับปมเกี่ยวกับครอบครัวได้ – ไม่ว่าจะในมุมที่เขาเหลือตัวคนเดียว ไม่มีครอบครัว หรือในมุมเรื่องราวระหว่างเขากับคุณย่า/หรือคุณยาย อันนี้จำได้ไม่แม่น ต้องขออภัยนะครับ เอาเป็นว่าถ้าจะเล่นประเด็นครอบครัว นาดีมสามารถเอามาใช้งานในจุดนี้ได้ แต่ก็กลายเป็นว่าหนังเอาตัวละครนี้มาเอาฮาเป็นหลัก (ซึ่งบางทีมันก็ไม่ได้ฮาดังตั้งใจด้วย)
ผมว่าสิ่งที่หนังควรนำเสนอคือหลอมรวมกลิ่นอาย GB ของเก่าเข้ากับ GB ของใหม่ แล้วถักทอสายใยระหว่างสองรุ่นให้ชิดใกล้เข้าหากัน ทำให้มันเป็นหนังครอบครัวยังได้เลย หรือไม่ก็เอาบางสิ่งจากหนังชุดเก่ามาสานต่อ/ต่อยอด/ส่งต่อในหนังชุดใหม่นี่ก็ได้ คือจริงๆ ในหนังภาคนี้เนี่ยมีสิ่งของหรือการอ้างอิงภาคก่อนๆ อยู่หลายอย่างนะ ไม่ว่าจะการมาของตัวละครอย่างวอลเตอร์ เพ็ก (William Atherton), เจ้าหน้าที่ห้องสมุด (John Rothman) หรือผีในห้องสมุดกับเจ้าสไลเมอร์ แล้วก็มีของอย่างเมือกอารมณ์อะไรแบบเนี้ยใส่ลงมาให้เรารำลึกถึงภาคเก่า ซึ่งได้เห็นมันก็สนุกดีน่ะครับ แต่ถ้ามีการผูกประเด็นดีๆ เข้ากับอะไรเหล่านี้ มันจะสามารถสื่ออะไรที่ลึกซึ้งกว่านี้ได้ มันสามารถเป็นได้มากกว่าเพียง Easter Egg น่ะครับ
แต่ก็ยังอยากดูภาคต่อนะครับ ยังไงใจก็รัก GB ไปแล้วน่ะ อยากเห็นพวกเขากลับมาอีก แต่จะดีมากหากพวกเขากลับมาพร้อมทำให้เรารู้สึกเหมือนโดนกอดแน่นๆ แบบเต็มรัก ไม่ใช่แค่แวะมาไฮไฟว์ แปะมือแป๊บๆ แล้วก็จากไป
สองดาวครับ
![]()
(6/10)
หมวดหมู่:Adventure, Comedy, Fantasy, Movie Reviews, Sci-Fi










