Action

The Equalizer 3 (2023) มัจจุราชไร้เงา 3 ปิดตำนานนักฆ่าจับเวลาตาย

Untitled07883

แม้ว่าหนังภาคนี้จะบอกว่าเป็นบทสรุปของไตรภาค แต่ผู้กำกับ Antoine Fuqua เคยให้สัมภาษณ์ไว้ครับว่าถ้าพี่ Denzel Washington แกเอ่ยปากว่าอยากทำต่อ ไม่ว่าจะภาคต่อหรือภาคก่อนหน้า (Prequel) ก็ตาม เขาก็พร้อมจะกลับมาร่วมงานด้วยเสมอครับ

แต่จริงๆ จบที่ภาค 3 นี่ก็โอแล้วล่ะครับ กำลังพอดี และเรื่องราวภาคนี้ก็ถือเป็นการสรุปที่เหมาะสมแล้วสำหรับนักฆ่ามือพระกาฬโรเบิร์ต แม็กคอล (Washington) ที่คราวนี้ไปผจญภัยนอกอเมริกาครับ ประมาณว่าพี่แกไปจัดการงานๆ หนึ่ง แล้วก็บาดเจ็บ แต่ก็ยังดีที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากชาวเมืองแถบนั้น

และพอเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่ว่า เขาก็เกิดรู้สึกชอบเมืองๆ นี้ขึ้นมาครับ เขาเริ่มผูกพันกับชาวเมือง เริ่มคุ้นเคยกับตึกรามบ้านช่อง แต่ขณะเดียวกันเขาก็ได้เห็นว่าเมืองนี้มีมาเฟียออกอาละวาด ในที่สุดพี่โรเบิร์ตก็เลยออกลุยเล่นงานพวกมัน เพื่อปกป้องชาวเมืองและเมืองที่เขารักให้พ้นจากเงื้อมมือพวกชั่วเหล่านี้

ภาคนี้ถือว่าเชื่อมโยงกับภาคก่อนๆ แบบพอดีๆ ครับ คือไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาเชื่อมจนเกินไป ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะแกนหลักของภาคนี้คือการที่พี่โรเบิร์ตแกได้เจอกับสถานที่ที่เหมาะกับเขา จนเขาอยากจะมาใช้ชีวิตบั้นปลายที่นี่ ซึ่งถือเป็นการแลนดิ้งที่ใช้ได้ครับ ดูแล้วเชื่อว่าพี่โรเบิร์ตแกรักเมืองนี้ และเราเองก็เชื่ออีกเช่นกันว่าเมืองนี้น่าจะเหมาะให้พี่เขาได้เกษียณจากโลกแห่งการฆ่าฟันเสียที – อารมณ์เหมือนหนังกำลังภายในน่ะครับ ที่จอมยุทธยอดฝีมือต้องการล้างมือและใช้ชีวิตอย่างสงบเสียที มู้ดมันได้ประมาณนั้นเลย

โดยรวมแล้วผมยังชอบภาคแรกมากที่สุดอยู่ครับ ส่วนภาคนี้ก็ชอบมากกว่าภาค 2 อยู่หน่อย จุดเด่นของภาคนี้ผมยกให้บรรยากาศของเมืองที่โรเบิร์ตไปอยู่ มันสวยงามน่าไปเที่ยวน่ะครับ เลยให้อารมณ์ที่แปลกตากว่า 2 ภาคก่อน ส่วนการเล่าเรื่องผมว่าก็ยังคงความเป็น The Equalizer ได้อยู่ แต่ยอมรับว่าระหว่างดูนี่ผมรู้สึกเหมือนพี่โรเบิร์ตแกออกแนวฮันนิบาล เลคเตอร์นะครับ ยิ่งฉากหลังเป็นเมืองในยุโรปด้วยมันยิ่งชวนให้นึกถึง ไหนจะดีกรีความโหดของพี่ท่านเวลาลงมืออีก แม้คนที่โดนจะสมควรอยู่ก็ตาม แต่ก็แอบรู้สึกเหมือนกันครับว่าพี่แกก็โหดเกิ๊น 555

พลังสำคัญของหนังยังคงเป็นการแสดงที่เอาอยู่ของพี่ Denzel ครับ เขาทำให้ตัวละครโรเบิร์ต แม็กคอลดูมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ จนเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผูกพัน ยิ่งผมดูแบบเรียงภาคต่อเนื่องก็ยิ่งให้ผูกพันมากขึ้นไปอีก แล้วก็อดไม่ได้ที่จะห่วงใยครับ คือจริงๆ ผมก็รู้นะว่าพี่แกน่ะมหาอุตม์อยู่แล้ว คงไม่แพ้ใครง่ายๆ หรอก แต่มันก็เป็นความรู้สึกห่วงใยเหมือนคนคุ้นเคยที่ได้รู้จักกันมา ได้เห็นวิถีชีวิตกันมา ซึ่งผมว่านี่เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องนะ ที่ทำให้เราผูกพันกับตัวละครหลักได้ถึงขนาดนี้

Untitled07884

คือเขาไม่ใช่แค่ตัวละครในจอสำหรับเราน่ะครับ แต่เขาคือพี่โรเบิร์ต เขาคือมัจจุราชไร้เงาที่คอยกวาดล้างคนขั่ว และที่สำคัญคือเขาใส่ใจคนรอบข้าง ห่วงใยคนรอบตัว ซึ่งบอกตรงๆ ว่าคนแบบนี้หายากยิ่งครับ มันจะมีสักกี่คนน่ะที่ยอมช่วยทวงความเป็นธรรมให้กับคนที่เพิ่งเห็นหน้า คือผมเข้าใจนะว่านี่คือหนังน่ะ มันคือการแต่งเรื่อง มันคือมนต์มายา – แต่การเล่าเรื่อง การแสดง และการสื่ออารมณ์ต่างๆ มันถึงเครื่อง จนทำให้เรารู้สึกอิน และอาจเพราะเราโหยหาคนแบบนี้ด้วยกระมังครับ มันเลยอินในอิน พอเจอคนแบบนี้ เราเลยให้ใจเขาไปเต็มๆ

ตัวหนังอาจไม่ได้แปลกใหม่ ลีลาแอ็คชั่นอาจไม่ถึงขั้นระเบิดโลก และตัวร้ายอาจไม่ได้แกรนด์อะไรนัก แต่สำหรับผมแล้ว มันคือการตามมาดูชีวิตของพี่โรเบิร์ตว่าเขาเป็นยังไง เขาต้องเจอกับอะไร และเขาจะมีบทสรุปที่ดีไหม – มันคือการตามติดคนๆ หนึ่งด้วยความรู้สึกผูกพันและปรารถนาดี – อันนี้ชมพี่ Denzel และผู้กำกับ Fuqua ครับ อีกทั้งทีมงานทั้งหลายตั้งแต่ภาคแรกยันภาคนี้ พวกคุณทำหนังชุดนี้ออกมาได้น่าจดจำมากๆ สำหรับผม คือโลกจะมองว่าหนังชุดนี้ดีไหมผมไม่ทราบ แต่สำหรับผม นี่คืออีกหนึ่งหนังไตรภาคที่ผมรักอย่างยิ่ง

และพูดแบบไม่อายครับ ตอนท้ายๆ ของเรื่องผมร้องไห้… ไม่ใช่สิ… ผมสะอื้นก่อน แล้วจากนั้นร้องไห้ – ฉากที่ตัวละครหลักตัวหนึ่งในเรื่อง ได้รับของที่พี่โรเบิร์ตส่งมาให้ พอตัวละครนั้นอ่านข้อความ เปิดของออกดู แล้วหนังก็ตัดภาพไปฉายรูปถ่ายที่อยู่บนโต๊ะของตัวละครนั้น – อันเป็นรูปครอบครัวของตัวละครนั้น – ซีนนี้แหละครับที่ผมสะอื้น แล้วร้องไห้ออกมาเลย – ความรู้สึกมันพุ่งทะลักแบบหยุดไม่อยู่ ยามได้รู้ว่าตัวละครนี้แท้จริงคือใคร – ยิ่งดูหนังแบบเรียงภาคนี่มันยิ่งโดนครับ คือกระแทกใจแรงมาก มันทำให้ตระหนักเลยว่าเวลาพี่โรเบิร์ตจะทำอะไรให้ใครที่เขาหวังดีด้วยเนี่ย พี่แกทำให้สุด ทำอย่างสุด และทำให้แบบไม่หยุด

ดังนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากผมจะกล่าวว่าผมไม่มีความเป็นกลางให้กับหนังเรื่องนี้ครับ คือผมไม่เถียงน่ะว่าหนังมันไม่ได้สุดยอดไปเสียทุกอย่าง แต่หนังชุดนี้ทำให้ผม “รัก” น่ะครับ – ผมรู้สึกรักไปแล้ว-  และเชื่อเถอะว่าหลายครั้งที่เรารักใครสักคนหรืออะไรสักอย่าง เราจะพร้อมมองข้ามจุดบกพร่องที่เขามี – ดังนั้นถ้าจะถามว่าหนังมีจุดพร่องไหม ผมตอบได้เลยว่า “มี” แต่ไม่ต้องถามว่าตรงไหนครับ เพราะผมใจผมมันมองไปยังจุดที่ผม “รัก” มากกว่า

สรุปว่านี่เป็นการจบไตรภาคที่น่าพอใจครับ

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)