Action

ท้าฟัน (1983) Duel to the Death

Untitled07860

ทุกๆ 10 ปีจะมีการประลองที่ลือลั่นสะเทือนยุทธภพระหว่างจอมยุทธจีนและญี่ปุ่น และครั้งนี้ก็เช่นกันครับ – ปู้ชิงหวิน (หลิวสงเหยิน, Damian Lau) ศิษย์วัดเส้าหลิน ตัวแทนชาวจีน กับมิยาโมโตะ อิจิโร่ (ฉีเส้าเฉียน, Norman Chu) ลูกศิษย์รุ่นที่ 4 ของพรรคชินคาเกะ ตัวแทนชาวญี่ปุ่น พวกเขามีนัดหมายประลองกันที่สำนักเทพกระบี่

ทว่าการประลองครั้งนี้กลับเต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย มีคนพร้อมจะเล่นไม่ซื่อเพื่อให้ฝ่ายของตนได้เป็นผู้กำชัย แล้วบทลงเอยของการประลองครั้งนี้จะเป็นเช่นไร?

บอกได้เลยว่าชอบครับ หนังสนุกทีเดียว ข้อดีอย่างหนึ่งเลยก็คือหนังไม่ยาวนักครับ แค่ไม่ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง การเล่าเรื่องก็เล่าแต่เนื้อๆ ไม่มียือเยื้อให้เบื่อหน่าย บวกด้วยดาราแต่ละเจ้าที่ถือว่ามีฝีมือ ไม่ว่าจะหลิวสงเหยินที่ดูเป็นจอมยุทธที่มีคุณธรรม – คือไม่ใช่แค่อยู่ฝ่ายคุณธรรมครับ แต่พี่ท่านเองก็มีคุณธรรมประจำใจด้วย เช่นเดียวกับฉีเส้าเฉียนที่ดูเป็นคนมีหลักคิดในแบบของตน มีความเคร่งในขนบบางประการจนบางครั้งก็ดูตึงอยู่ในที บทนี้พี่ฉีก็เล่นได้เข้าท่า

นอกจากนี้ก็ยังมี จางชง (Paul Chang Chung) ในบทเทพกระบี่เซี่ยโหว, Flora Chong-Leen ในบทเซี่ยโหวเซิ่งหนาน ทายาทมือกระบี่ตระกูลเซี่ยโหว, เกาสง (Eddy Ko) รับบทไต้ซือเคนดะ ฮาจิทีคอยติดตามมาช่วยเหลือมิยาโมโตะและ หยางเจ๋อหลิน (Yeung Chak-lam) รับบทอาจารย์อาของปู้ชิงหวิน – แต่ละคนบทถือว่ามีความซับซ้อน สะท้อนโลกอันยอกย้อนสับสนของยุทธภพได้อย่างน่าสนใจ

ด้านคิวบู๊ก็นับว่าน่าจดจำครับ ฉากต่อสู้ถือว่าทำออกมาได้ดี นอกจากจะมันส์แล้ว หลายครั้งหลายครากระบวนท่าที่จอมยุทธแต่ละคนใช้นั้นก็สะท้อนตัวตนออกมาได้อย่างดี บางคนจริงจังคมเข้ม บางคนขี้เล่นอยู่ในที หรือบางคนก็พร้อมจะใช้ทุกวิธีเพื่อให้ตนเอง (หรือฝ่ายตนเอง) ได้มาซึ่งสิ่งที่ตนต้องการ – และที่สำคัญคือบางคนก็มีหลากมุม บางครั้งเข้ม บางครั้งอ่อน ผันแปรไปตามสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึก นี่ก็สะท้อนถึงมิติอันหลากหลายของคน ที่ยังเป็นปุถุชนคนเดินดิน

Untitled07882

หนังยังมาพร้อมบทสนทนาดีๆ อย่างตอนที่ปู้ชิงหวินและมิยาโมโตะถกกันเรื่อดอกบ๊วยของคนจีนและดอกซากุระของคนญี่ปุ่น หรือคำที่ชิงหวินกล่าวออกมาว่า “ก่อนเริ่มประลองนั้น เราต่างก็รู้ว่าผู้ชนะที่แท้จริง ก็คือยมทูต

นี่คือผลงานกำกับชิ้นแรกของ เฉิงเสี่ยวตง (Ching Siu-Tung) ซึ่งจัดว่าน่าจดจำเลยครับ หนังมีครบทั้งการเล่าเรื่องที่กระชับ สาระชวนคิดดีๆ และคิวบู๊สนุกๆ แล้วในเวลาต่อมาเขาก็ดังยิ่งขึ้นกับผลงานอย่างโปเยโปโลเย และ เดชคัมภีร์เทวดาทั้ง 3 ภาค

และที่ลืมไม่ได้คือบทสรุปที่สรุปแบบไม่สรุป ปล่อยให้คนดูไปคิดต่อเอาเอง…

ถือเป็นหนังกำลังภายในระดับคลาสสิคอีกเรื่องที่ครบเครื่องและควรค่าแก่การรับชม

สองดาวครึ่งบวกๆ ครับ

Star22

(7.5/10)