
ผมนั้นเคยดู Moby Dick ฉบับนี้ 2 หนครับ หนแรกก็คือดูตามปกติ ส่วนหน 2 ก็คือดูก่อนจะมาเขียนเรื่องนี้ ซึ่งในความรู้สึกผมนั้น ยอมรับว่าหนังสร้างได้ดี โดยเฉพาะถ้ามองว่าอายุของหนังเกือบจะ 70 ปีแล้ว แต่ถ้าถามว่าชอบไหมก็ต้องตอบตามตรงว่าไม่ถึงขั้นชอบอะไรมาก
หนังดัดแปลงจากวรรณกรรมอมตะของ Herman Melville โดยตัวละครหลักของเรื่องคืออิชมาเอล (Richard Basehart) ผู้บอกเล่าถึงการผจญภัยบนเรือล่าวาฬที่นำโดยกัปตันอาฮับ (Gregory Peck) ผู้หมายมั่นจะตามหาวาฬสีขาวโมบี้ ดิ๊กที่เคยฝากรอยแค้นไว้กับเขา และแน่นอนว่าเขาพร้อมจะทุ่มทุกสิ่งเพื่อเผชิญหน้ากับมันอีกสักครั้ง… เขาต้องการล้างแค้นครับ
หนังกำกับโดย John Huston ซึ่งออกมายอมรับเลยว่าการกำกับหนังเรื่องนี้มีความยากมากที่สุดในบรรดาผลงานของเขาทั้งหมดเพราะฉากส่วนใหญ่ในหนังก็คือกลางทะเลน่ะครับ จึงต้องถ่ายทำกันทั้งในทะเลจริงๆ และในโรงถ่าย ส่วนวาฬก็มีทั้งภาพวาฬจริงและใช้เป็นหุ่น ซึ่งว่ากันว่าตอนที่ไปถ่ายในทะเลนั้น หากจะนับว่าถ่ายในทะเลนานไปนานแค่ไหน ก็มีทีมงานบันทึกไว้ครับว่าที่ถ่ายในทะเลนั้นน่ะ เรือจะต้องล่องอยู่ในทะเลเป็นระยะทางรวมๆ กันไม่ต่ำกว่า 3,000 ไมล์ และใช้ฟิล์มในการถ่ายไปไม่ต่ำกว่า 400,000 ฟุตทีเดียว
ในแง่งานสร้างก็ต้องยอมรับล่ะครับว่าทำได้ดีสำหรับสมัยนั้น ส่วนการเล่าเรื่องก็ถือว่าจับแก่นใจความของเรื่องได้ดี แต่กระนั้นผมก็ยอมรับล่ะครับว่าตอนดูรอบ 2 นี่มีแอบงีบไปเหมือนกัน บางฉากที่มันเรื่อยๆ ช้าๆ มันก็มีอยู่ครับ ดังนั้นใครที่ไม่ค่อยชอบหนังดราม่าที่เดินเรื่องเรื่อยๆ มีแต่การคุยกันในสถานที่เดิมๆ (เพราะเหตุมันก็เกิดวนอยู่ในเรือนั่นแหละครับ) ก็อาจไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายสำหรับหนังเรื่องนี้ครับ – ก็ไม่ใช่หนังแอ็คชั่นน่ะนะครับ อันนี้ก็ต้องบอกกันไว้ก่อน
ส่วนการแสดงของ Peck ในบทกัปตันอาฮับนั้น ถ้าไม่นับเรื่องอายุที่ยังไม่แก่เท่ากับตัวละครอาฮับจริงๆ ในแง่การสื่ออารมณ์ต่างๆ ผมว่า Peck ก็พยายามทำอย่างเต็มที่น่ะครับ ก็จัดว่าแสดงได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ตัว Peck เองก็ยังเคยออกมาพูดตอนที่หนังออกฉายแล้วได้รับคำวิจารณ์เชิงลบว่า เขารู้สึกว่าตัวละครอาฮับในหนังใช้ภาษาตามแบบนิยายมากเกินไป และเขาก็เพิ่งมามราบภายหลังว่ากัปตันอาฮับตามนิยายน่ะอายุปาเข้าไป 58 ปี เป็นกัปตันเฒ่าที่ผ่านโลกมามาก แต่ตอนนั้น (ตอนที่ถ่ายทำ) Peck เพิ่งจะอายุ 38 ปีเท่านั้น ซึ่ง Peck ยังบอกอีกว่า บทนี้น่ะต้องการอะไรบางอย่างที่มากกว่าที่เขามีในเวลานั้น (ในแง่หนึ่งก็หมายถึงอายุและประสบการณ์ รวมถึงความรู้สึกนึกคิดบางอย่าง) พร้อมทั้งเคยแสดงความเห็นว่า จริงๆ แล้ว John Huston น่าจะเหมาะกับบทกัปตันอาฮับมากกว่า
แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็ออกมาขอโทษทีมงานและทีมเขียนบทที่เคยเอ่ยออกไปในลักษณะนั้น ในขณะที่ John Huston จริงๆ แล้วคนที่เขาอยากให้มาเป็นอาฮับนั้น ก็คือ Walter Huston พ่อของเขานั่นเอง แต่เนื่องจากพ่อของเขาเสียไป 4 ปีก่อนที่หนังจะได้ถ่ายทำ เขาเลยต้องเลือกนักแสดงรายอื่น ซึ่งที่เข้าชื่อมาก็มี Errol Flynn, Gary Cooper, Burt Lancaster, John Wayne และ Marlon Brando แต่สุดท้ายก็มาลงตัวที่ Peck ที่ทางสตูดิโอผู้สนับสนุนเรื่องทุนก็เห็นพ้อง – พูดแบบตรงๆ ก็คือ สตูดิโอรีเควสท์มาน่ะครับ ว่าถ้า Huston อยากได้ทุนสร้าง ก็ต้องมีดาราที่ชื่อ “ขาย” มานำแสดง เลยมาจบที่ Peck
และแม้ Peck จะเคยออกมาแสดงความเห็นเชิงลบต่อหนัง แต่ผู้กำกับ Huston ก็ยังบอกว่าเขาพอใจในการแสดงของ Peck อย่างยิ่ง

และถ้าดูชื่อบนเครดิตดีๆ ท่านจะพบว่าคนที่มาช่วย Huston ดัดแปลงบทภาพยนตร์ก็คือ Ray Bradbury นักเขียนแนวไซไฟชื่อดัง ซึ่งว่ากันว่าในรอบแรกที่ Huston นัด Bradbury ไปคุยเรื่องบทนั้น Bradbury ก็ยอมรับออกมาโต้งๆ ว่า “ผมยังไม่เคยอ่านนิยายเล่มนี้มาก่อนเลยนะ” ซึ่ง Huston ก็แอบอึ้งไปเหมือนกัน (เพราะจะเริ่มคุยงานกันอยู่แล้วแท้ๆ) แล้ว Huston ก็เลยบอกให้ Bradbury กลับไปอ่านนิยายก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่
แต่กลายเป็นว่าการทำงานระหว่าง Huston และ Bradbury นั้นค่อนข้างจะมาคุครับ เหมือนต่างคนต่างก็มีอีโก้และวิธีการของตนเอง เลยมีการแย้งการขัดกันเป็นพักๆ แล้วก็ดูท่าว่าบรรยากาศตึงเครียดที่ว่าคงจะฝังใจ Bradbury มาก จนถึงขั้นเอาเรื่องราวดังกล่าวมาเขียนต่อยอดเป็นนิยายเรื่อง Green Shadows, White Whale เลยทีเดียว
สำหรับตัวหนังนั้นก็อย่างที่บอกไปครับ ถือเป็นหนังคุณภาพที่ดาราดี งานสร้างดี การเล่าเรื่องจริงๆ ก็ถือว่าจับใจความสำคัญมาได้ดี เพียงแต่บางช่วงก็อาจเชื่องช้าไปบางตามสไตล์หนังเก่า
สาระสำคัญที่หนังสื่อให้เราคิดอย่างแรกก็คือความแค้นครับ การที่เรามีความแค้นแบบฝังใจกับสิ่งใดก็ตามนั้น สิ่งแรกเลยที่ไฟแค้นจะแผดเผาหาใช้สิ่งที่เราแค้นไม่ แต่มันจะเผาใจเราก่อน ใจเราจะเป็นสิ่งแรกเลยครับที่รับผล เราอาจหงุดหงิด เราอาจขาดสติ เราอาจเสียเวลาไปกับการคิดแค้นแทนที่จะเอาเวลานั้นไปใช้ทำอย่างอื่นที่จะก่อประโยชน์ให้กับชีวิตมากกว่า และยิ่งเราจมอยู่กับมันนานเท่าไร มันก็จะส่งผลลบต่อชีวิตเราไปนานเท่านั้น เปรียบได้กับคลื่นความแค้นที่จะม้วนเราจมลงสู่ก้นสมุทรอันแสนลึกล้ำ ยิ่งแค้นมากเท่าไรก็ยิ่งยากที่จะลอยขึ้นมาได้ – เหมือนชะตากรรมกัปตันอาฮับกับโมบี้ ดิ๊กในตอนท้ายนั่นแหละ
และความโกรธความแค้นมันทำลายตัวเรายังไม่พอ บางทีมันอาจลามไปทำลายความสุขของคนรอบตัวเราได้อีกต่างหาก – มองแค่ง่ายๆ น่ะครับ ถ้าตัวเราจมอยู่กับความแค้น เราก็จะรู้สึกลบ คิดลบ ทำลบ ซึ่งคนที่จะได้รับผลถัดจากตัวเราก็คือคนที่อยู่รอบตัวเรานั่นแหละ ในขณะที่คนที่เราแค้นนั่นอยู่ข้างนอก ไม่ได้มารู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับเราด้วย แต่คนที่อยู่ใกล้ตัวเราที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่หรือไม่ได้ทำอะไรผิดนี่แหละที่ต้องมารับผลพวงแห่งความคับแค้นจากเราไปก่อนใคร
พูดถึงกรณีแบบนี้แล้วผมนึกถึงคำกล่าวนี้นะ “บางทีการแก้แค้นที่ดีที่สุด คือการที่เรามีชีวิตที่ดีและใช้ชีวิตให้มีความสุข” จำไม่ได้แล้วว่าใครพูด แต่ถือว่าพูดได้น่าคิด

ถัดจากประเด็นนี้ก็มาถึงประเด็นการเป็นผู้นำครับ ในเรื่องนั้นกัปตันอาฮับคือผู้นำ ชีวิตลูกเรือทั้งหลายอยู่ในมือเขา ดังนั้นถ้านำไปสู่ทางที่ดีก็ดีไป แต่ถ้านำไปสู่ทางแห่งหายนะ ลูกเรือก็ต้องรับผลไม่มากก็น้อย – ประเด็นนี้ก็สัมพันธ์กับประเด็นก่อนครับ นั่นคือสิ่งที่เราทำนั้นจะส่งผลถึงคนรอบข้างเสมอ ยิ่งคุณเป็นเจ้าคนนายคน มันก็ย่อมส่งผลต่อผู้ใต้บังคับบัญชาไปโดยปริยาย
ดังนั้นคนเป็นผู้นำจึงควรไตร่ตรองให้ดี อย่าเอาอารมณ์เป็นที่ตั้ง อย่าคิดทำอะไรแบบชั่วแล่น แต่ต้องคิดเสมอว่าหนึ่งการกระทำของเรา จะส่งผลถึงคนอีกสิบ-ร้อย-พัน-หมื่น-แสนคน จะส่งผลถึงคนมากแค่ไหนก็ขึ้นกับว่าตอนนี้คุณเป็นใคร – ว่าแต่รู้ใช่ไหมครับว่า “ตอนนี้คุณเป็นใคร?”
อีกหนึ่งประเด็นคือ เวลาจะตัดสินใจอะไรนั้น เราควรฟังข้อมูลให้รอบด้านครับ อันนี้คือทั้งคนธรรมดาและผู้นำเลยนะ อย่าเป็นอย่างอาฮับที่ยึดข้อมูลตัวเองเป็นสรณะเพียงอย่างเดียว บางทีใครท้วงใครติงก็ต้องฟังก็ต้องคิด ต้องชั่งตวงวัดเปรียบเทียบพิจารณาให้รอบคอบ – การที่เรารับฟังแต่ข้อมูลที่สนับสนุนความคิดเราแต่เพียงอย่างเดียวนั้น ออกจะเป็นการกระทำที่เสี่ยงอยู่นะครับ
แม้เรื่องราวจะเกิดขึ้นห่างไกลไปถึงกลางทะเล แต่ข้อคิดเหล่านี้สามารถเอามาปรับใช้ได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ส่วนไหนของโลกก็ตาม
อีกหนึ่งเกร็ดแถมท้ายคือ Moby Dick ฉบับนี้เป็นหนึ่งในหนังโปรดของ Morgan Freeman ด้วยครับ
สรุปอีกทีว่าหนังเรื่องนี้ควรค่าแก่การลองลิ้มสักครั้งครับ โดยส่วนตัวผมว่าทุกอย่างอยู่ในขั้นดีหมด แต่จะมีเพียงบางช่วงเท่านั้นแหละที่หนังเดินเรื่องช้า (หรือสำหรับบางคนก็อาจมองว่าหนังช้าทั้งเรื่องนั่นแหละ 555)
สองดาวครึ่งครับ
![]()
(7/10)
หมวดหมู่:Adventure, Drama, Monster Movies, Movie Reviews










