Comedy

The Party (1968)

Untitled07715

พอดู The Party จบปุ๊บผมก็ตระหนักเลยครับว่า นี่คือหนึ่งในหนังตลกเบาสมองที่ผมชอบที่สุดตลอดกาล

ในแง่ความของขำขันนั้นก็ต้องแล้วแต่เส้นของท่านครับ แต่ผมบอกได้เลยว่าใครที่ชอบหนังตลกแนว Mr. Bean ประเภทกระทาชายนายหนึ่งที่จิตใจแสนจะไร้เดียงสา แต่เวลาไปที่ไหนที่นั้นต้องเกิดเรื่องหายนะ เข้าแกีงไหนหัวหน้าตายหมดอะไรประมาณนั้นน่ะครับ ถ้าท่านชอบแนวนี้ล่ะก็ ผมแนะนำอย่างแรงให้ท่านดู The Party เลย

Peter Sellers รับบท หรุญดี วี บาจี นักแสดงตัวประกอบชาวอินเดียที่ได้รับเชิญ (ด้วยความเข้าใจผิด) ให้ไปร่วมงานเลี้ยงที่จัดโดยผู้อำนวยการสร้างใหญ่รายหนึ่ง และพอพี่ท่านย่างเท้าเข้าไปเท่านั้นล่ะครับ ความวุ่นวายก็เริ่มต้น มันเริ่มจากเบาะๆ ก่อนครับ ก่อนที่มันจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นจนถึงขั้นบรรลับวายป่วง ชนิดที่ผู้ร่วมงานปาร์ตี้ในวันนั้นจะต้องจดจำไม่มีวันลืมไปตลอดชาติเลยทีเดียว

คอนเซปต์ตั้งต้นของหนังเรื่องนี้ก็คือการสร้างเสียงหัวเราะในสไตล์ของ Buster Keaton, Laurel and Hardy บวกด้วยลีลาอารมณ์ขันแบบนักทำหนังชาวฝรั่งเศสอย่าง Jacques Tati อันนำมาสู่มุกตลกท่าทาง, ตลกเปิ่นๆ, ตลกหน้าตาย บวกด้วยการใช้อุปกรณ์รอบตัวมาสร้างเสียงฮา

และหนังเรื่องนี้ยังถือเป็นหนังทดลองด้วยนะครับ เพราะส่วนใหญ่ที่เราเห็นในหนังน่ะคือการด้นสดโดยมีพล็อตตั้งต้นความยาวแค่ 56 หน้าเป็นแนวทางคร่าวๆ แล้วก็ให้นักแสดงไปวาดลวดลายกันหน้ากล้อง ดังนั้นการถ่ายแต่ละฉากนั้น ก็จะถ่ายโดยอิงจากเหตุการณ์ของฉากก่อนหน้า ประมาณว่าถ่ายฉากนี้เสร็จแล้วทีมงานก็จะมานั่งดูฉากที่เพิ่งถ่ายไป แล้วก็เซ็ทฉากต่อไปให้สอดคล้องกับฉากก่อนหน้า ว่ากันแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งมีการบันทึกว่า The Party นี่ถือเป็นหนังเรื่องแรกๆ ที่ใช้เทคนิคถ่ายทำลักษณะนี้ครับ

พอรู้อย่างนี้แล้วจึงไม่แปลกใจครับที่รสชาติของหนังมันจะค่อนข้างสด แม้หนังจะเก่ากว่า 56 ปีแต่เอามาดูตอนนี้ก็ยังสัมผัสได้ถึงความสด แต่ละฉากมันดูมีพลัง มีความน่าสนใจอยู่ในนั้น เรื่องความฮาก็เรื่องหนึ่งนะครับ แต่มันรู้สึกเลยว่าเหตุการณ์หลายอย่างที่เห็นนั้น สถานการณ์มันพาไป ดาราเขาด้นกันหน้ากล้องจริงๆ แล้วแต่ละคนก็ยังเล่นกันได้โดยไม่หลุดด้วย ก็ต้องนับว่าฝีมือล่ะครับ

Untitled07716

แน่นอนว่าความเด่นสุดๆ ต้องยกให้การแสดงของ Sellers ที่ผมถือว่าบทหรุญดีในเรื่องนี้นี่เป็นหนึ่งในบทที่ดีที่สุดของเขา โดยส่วนตัวนี่ออกจะชอบมากกว่าตอนพี่เขาเล่นเป็นคลูโซ่อีกนะ เพราะคาแรคเตอร์ของหรุญดีนี้เขาเป็นคนซื่อน่ะครับ ซื่อแบบจริงใจ ซื่อแบบนิสัยดี จุดที่ผมชอบที่สุดต้องยกให้หลังจากที่เขาสร้างความวุ่นวายมากมายบนโต๊ะอาหารแล้ว เขาก็ค่อยๆ ย่องไปหาภรรยาของผู้อำนวยการสร้างเพื่อขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับเลยว่า Sellers แสดงฉากนี้ได้ดี แม้มันจะมีความฮาเจืออยู่ แต่เขาก็สื่ออารมณ์ได้ดีครับว่าเขากำลังสำนึกผิดและตั้งใจจะขอโทษจริงๆ

ไหนจะความน่ารักเป็นสุภาพบุรุษของเขาจนทำให้นักแสดงสาวหน้าใหม่ (ในหนัง) อย่างมิเชลล์ โมเนต์ (Claudine Longet) รู้สึกประทับใจและชื่นชมในตัวเขา คือปกติแล้วผมมักจะตะหงิดๆ เสมอนะเวลาที่นางเอกในหนังตลกมาตกหลุมรักตัวเอกที่เป็นตัวป่วนตัวเป๋อ ประมาณว่าตัวหายนะแบบนี้เจ๊ยังจะรักลงอีกหรือ แต่กับหรุญดีนี่ผมยอมรับโดยสนิทใจเลยครับ เพราะโดยเนื้อแท้เขาเป็นคนดีจริงๆ แม้จะทำอะไรพลาดๆ จนเกิดหายนะก็เถอะ แต่มันไม่ใช่โดยเจตนาเลยแม้แต่น้อย

มันถือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวพอดีกันน่ะครับ ในแง่ความฮาหนังก็มีให้ แล้วยังมีด้านน่ารักๆ ในประเด็นความรู้สึกดีๆ ที่ก่อตัวขึ้นระหว่างหรุญดีกับมิเชลล์ หรือฉากอย่างตอนที่หรุญดีอั้นเข้าห้องน้ำเพื่อฟังมิเชลล์ร้องเพลงจนจบ มันคือความน่ารักที่ผมเชื่อว่าใครหลายคนก็เคยทำ ใช่ไหมล่ะครับ ตอนที่เราชอบใครสักคนแล้วอยากยืนอยู่ตรงนั้นเพื่อให้กำลังใจเขา แม้ในความจริงเราอาจต้องรีบไปที่ไหนสักแห่งก็เถอะ แต่เราก็จะยอมยืนยอมทนอยู่ตรงนั้น 

ไหนจะตอนที่หรุญดีเข้าไปหามิเชลล์ตอนที่เธอนุ่งผ้าเช็ดตัวอยู่ ฉากนี้ผมชอบมากเพราะมันสัมผัสได้เลยจริงๆ ครับว่าการที่หรุญดีเข้าไปหาเธอนั้น มันไม่ใช่ด้วยเรื่องทางเพศเลยแม้แต่น้อย แต่มันเพราะเขาตระหนักได้ว่าเธอกำลังมีเรื่องทุกข์ใจ และเขาไม่สามารถปล่อยให้เธออยู่คนเดียวได้จริงๆ – อะไรเหล่านี้ทำให้หนังมันครบเครื่องครับ มันมีความน่ารัก และเป็นมากกว่าแค่หนังตลกเอาฮาเพียงอย่างเดียว

สำหรับตัวละครหรุญดี ว่ากันว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก 2 บทบาทที่ Sellers เคยแสดงได้ บทแรกคือคุณหมออาเหม็ดใน The Millionairess ที่แสดงร่วมกับ Sophia Loren และอีกบทก็คือสารวัตรคลูโซ่จอมเซ่อแห่ง The Pink Panther นั่นเองล่ะครับ

นอกจาก Sellers แสดงได้ยอดแล้ว ก็ต้องยกนิ้วให้ Blake Edwards ล่ะครับที่สามารถคุมหนังเรื่องนี้ได้ คือถ้าคนทำมือไม่ถึงนี่หนังมีแววเละเลยนะ ยิ่งถ่ายทำแบบถ่ายไปด้นไปแบบนี้น่ะ แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีมาก สำหรับผมนี่เข้าขั้นประทับใจเลย รู้สึกเป็นการดูหนังที่มีความสุขมากมายจริงๆ ครับ

อีกหนึ่งคนที่ลืมไม่ได้คือ Steve Franken เจ้าของบทบ๋อยที่ซัดเครื่องดื่มของเมาทุกครั้งที่มีโอกาส อันนำมาสู่ความฮาวุ่นวายในหลายวาระ พี่ท่านก็เล่นได้ลื่นแท้

เกร็ดที่อยากนำมาเล่าคือ ตอนต้นเรื่องมันจะมีฉากที่หรุญดีก่อเรื่องจนปราสาทในกองถ่ายระเบิดใช่ไหมครับ กล่าวกันว่าฉากนั้นน่ะมีต้นเค้าเรื่องจริงด้วยครับ เป็นเหตุที่เกิดในกองถ่าย The Good, the Bad and the Ugly ของ Sergio Leone ซึ่งในเรื่องนั้นจะมีฉากระเบิดสะพานที่แสนยิ่งใหญ่ ปรากฏว่าด้วยความเข้าใจผิดทางการสื่อสาร ทำให้สะพานที่ว่าน่ะถูกระเบิดตูมแบบไม่มีชิ้นดี แต่กล้องน่ะไม่ได้ถ่ายเอาไว้ครับ จนสุดท้าย Leone ต้องสั่งให้ทีมงานสร้างสะพานใหญ่นั้นขึ้นมา เพื่อจะได้ถ่ายฉากระเบิดใหม่อีกรอบ

Untitled07717

และระหว่างดูนั้นผมก็มีคำถามนะ ว่าการที่หนังเอาตัวละครที่เป็นชาวอินเดียมาเล่นแบบนี้เนี่ย จะโดนครหาว่าเหยียดเชื้อชาติไหม? ปรากฏว่ามีเรื่องขึ้นมาจริงๆ ครับ เมื่อมีบางท่านมองว่าหนังเรื่องนี้มีการเหยียดเชื้อชาติ มองคนอินเดียเป็นตัวตลก โดยเฉพาะบุคลิกเปิ่นๆ และสำเนียงแปลกๆ ทั้งหลายนั้นก็มีคนมองว่ามันดูเกินจริงจนทำให้ภาพลักษณ์ของคนอินเดียในเรื่องดูไม่ดีสักเท่าไร

แต่กลายเป็นว่าคนอินเดียส่วนใหญ่น่ะ เขาไม่ได้มองเรื่องนั้นเลยครับ และในทางกลับกันหนังเรื่องนี้ฮิตแบบโคตรๆ ตอนเข้าฉายในอินเดีย ถึงขั้นว่านางอินทิรา คานธี (Indira Gandhi) ยังออกมาบอกว่าเธอเป็นแฟนหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะประโยคที่หรุญดีพูดว่า “In India we don’t think who we are, we know who we are!” อันนี้นี่เธอชอบมากๆ – และนี่ถือเป็นประโยคทองของหนังเลยก็ว่าได้

แล้วหนังยังฮิตถึงขั้นที่ Amitabh Bachchan นำเอาคาแรคเตอร์ของหรุญดีนี้ไปเป็นต้นแบบในตัวละครที่เขาแสดงใน Namak Halaal หนังฮิตประจำปี 1982 ของอินเดีย นอกจากนี้ผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Satyajit Ray ยังเคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาเป็นแฟนหนังของ Sellers และชื่นชมการแสดงบทนี้ของเขา รวมถึงอยากให้ Sellers มาร่วมงานในหนังเรื่อง The Alien – แต่น่าเสียดายที่ท้ายสุดแล้ว โปรเจคท์หนังเรื่อง The Alien ก็ไม่ได้ถูกสร้างขึ้น

ว่ากันว่า The Party คือหนึ่งในหนังโปรดของ Elvis Presley ด้วยครับ

อีกหนึ่งเกร็ดที่น่าเศร้าสักหน่อยก็คือ ในวันที่หนังเรื่องนี้ลงโรงฉายนั้น คือวันเดียวกับที่ Martin Luther King ถูกลอบสังหารครับ

ผมประทับใจหนังเรื่องนี้มากครับ มันดูสนุก มันเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน แต่ขณะเดียวกันก็ยังไม่ลืมที่จะทำให้เราเห็นด้านดีของความซื่อ ความน่ารักของคนธรรมดาที่อาจไม่ได้มีเล่ห์เหลี่ยมอะไร

บางทีการที่โลกนี้ยังคงหมุนไปได้ อาจไม่ใช่แค่เพราะคนเก่งๆ ที่สร้างสรรค์อะไรใหญ่โตเท่านั้น แต่ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะโลกยังมีคนธรรมดา ที่ทำอะไรแบบง่ายๆ ซื่อๆ และอาจจะดูตลกในสายตาของเรา – ก็น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าโลกนี้ไม่เหลือคนซื่อๆ เลย มันจะเป็นอย่างไรต่อไป

อีกสิ่งที่ลืมไม่ได้คือหนังเสียดสีแวดวงเบื้องหลังโลกมายาได้แบบเห็นภาพดีครับ ไม่ว่าจะผู้อำนวยการสร้าง (บางคน) ที่เห็นแก่วัตถุมากกว่าจิตใจ, คนปั้นดารา (บางคน) ที่หมายมั่นจะเคลมดาราเสียเอง หรือดาราใหญ่ๆ (บางคน) ที่ใช้ความดังของตนเป็นพลังดึงดูดคน (ที่สวยๆ หล่อๆ) ให้มารุมล้อม

สรุปว่าผมชอบหนังเรื่องนี้แบบเต็มๆ ครับ โดยเฉพาะตอนจบ ที่ดูง่ายๆ และอาจจัดว่าลงสูตรสำเร็จแบบเต็มๆ แต่ผมว่ามันกลมกล่อม พอเหมาะ ที่สำคัญคือมันดูน่ารักและชวนให้ Feel Good – และไม่รู้ทำไมนะครับ การจบแบบนี้มันทำให้ผมรู้สึกได้อารมณ์เหมือนดูหนังแนวที่ผมชอบ – หนังที่บอกเล่าเรื่องราวช่วงหนึ่งของชีวิตคนน่ะครับ ผมรู้สึกแบบนั้นเลยตอนที่ End Credits ขึ้น – ยิ่งโดนใจหนังขึ้นไปอีก

สามดาวสิครับ

Star31

(8/10)