รีวิวหนัง/ภาพยนตร์

Bull Durham (1988) ยอดคนสิงห์สนาม

Untitled07632

ผมเคยดู Bull Durham รอบแรกเมื่อสมัยเป็นวัยรุ่น ดูเพราะเขาว่าเป็นหนังดีครับ ครั้นพอดูแล้วก็รู้สึกเรื่อยๆ ไม่ถึงกับชอบอะไรมาก จากนั้นหลายสิบปีต่อมาหลังจากมีครอบครัวมีลูกมีเต้าและวัยเริ่มย่างก้าวเข้าสู่ครึ่งหลังของชีวิต พอได้ดูอีกทีหนนี้โดนเลยครับ เหมือนสาส์นในหนังมันกระแทกเข้าเบ้าตาอย่างจัง

เรื่องราวว่าด้วยเอ็บบี้ ลาลูช (Tim Robbins) นักเบสบอลมือขว้างหน้าใหม่ที่ดูท่าจะมีอนาคตไกล แต่เนื่องจากฝีมือยังไม่เข้าฝักและชีวิตเหมือนยังไม่ค่อยมีหลักเท่าไร ผู้ใหญ่ของทีมเลยให้นักเบสบอลมือเก๋าอย่างแครช เดวิส (Kevin Costner) มาช่วยชี้ทางให้เอ็บบี้เข้ารูปเข้ารอย โดยที่ระหว่างนั้น 2 หนุ่มนี่ก็อยู่ในสายตาของแอนนี่ ซาวอย (Susan Sarandon) สาวสวยเสน่ห์แรงที่มีเป้าหมายในการคบหากับนักเบสบอลฤดูกาลละ 1 คน และสุดท้ายแล้วหนุ่มคนไหนที่จะชนะใจเธอ คำตอบรออยู่ในหนังครับ

ก็เป็นหนังโรแมนติกเบาสมองว่าด้วยโลกของเบสบอลครับ เขียนบทและกำกับโดย Ron Shelton ซึ่งชื่อของเขาอาจไม่ใช่ผู้กำกับแถวหน้า แต่ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าถ้าเขาคนนี้จับหนังเกี่ยวกับกีฬาเมื่อไร เรื่องนั้นรับรองว่าสนุก ได้รสได้ชาติพร้อมทั้งได้แง่คิดดีๆ ติดหัวกลับมา และนี่ก็คืองานกำกับเรื่องแรกของเขาครับ ซึ่งผมยกให้เป็นงานที่ดีอันดับต้นๆ ของเขาเลย

หนังเล่าเรื่องได้ลื่นไหลครับ ตัวบทมีความสนุกและมีมุกให้ดูเพลินอยู่เรื่อยๆ เมื่อมาบวกกับฝีมือดาราระดับไว้ใจได้อย่าง Costner, Robbins และ Sarandon แล้ว หนังเลยออกมาสนุก มีอะไรให้ติดตามตลอด ซึ่งแม้ท่านจะไม่ใช่่คอกีฬาเบสบอลก็ยังสนุกกับหนังได้ครับ เพราะเรื่องหลักๆ มันจะว่าด้วยความสัมพันธ์และวิธีคิดของตัวละครมากกว่า

และที่ผมบอกว่าสาส์นในหนังมันกระแทกเข้าเบ้าตาก็เพราะ เมื่อลองมาดูๆ แล้ว หนังถ่ายทอดให้เห็นถึงช่วงชีวิตคน 2 แบบ แบบแรกคือแบบที่กำลังทะยานไปสู่จุดสูงสุดของอาชีพ ซึ่งก็คือเอ็บบี้ ส่วนแบบที่ 2 คือ ชีวิตที่เคยไปถึงจุดสูงสุดของเส้นกราฟแล้ว และกำลังเข้าสู่ขาลง ซึ่งก็คือชีวิตของแครชนั่นแหละครับ

Untitled07634

ในเรื่องเอ็บบี้คือคนหนุ่มดาวรุ่งที่กำลังพุ่งแรง แต่กระนั้นแม้เขาจะมาแรงแค่ไหนแต่หากไม่มีใครคอยขัดเกลาเขาก็ยากจะไปถึงจุดสูงสุดได้ ซึ่งก็ยังดีที่เขาได้แครชมาช่วย ตอนแรกเอ็บบี้ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่พอถึงจุดที่เขาพร้อมที่จะเรียนรู้และหันมารับฟัง ฝีมือของเขาก็เข้าฝักดีขึ้นตามลำดับ สิ่งนี้ก็เหมือนเป็นการสอนให้คนที่กำลังมีโอกาสรุ่งๆ ได้รู้จักที่จะเรียนรู้ อย่าคิดว่าเราเก่งที่สุดจนไม่ฟังใคร อย่าหยิ่งผยองจนลืมมองสิ่งรอบตัว – แม้เราจะเก่งจริงๆ ก็ตาม แต่มันก็ไม่เลวไม่ใช่หรือที่เราจะหาทางทำให้ตัวเองเก่งขึ้นอีก โดยการซึมซับความรู้และทักษะดีๆ จากคนที่มีประสบการณ์มากกว่า คนที่เคยเจอเคยเห็นอะไรมามากกว่า แบบนั้นจะเท่ากับเรากำลังติดปีกเพิ่มพลังภายในให้กับตนเอง อันจะทำให้เราทะยานได้ไกลและทะยานอย่างมั่นคง

ส่วนแครชนั้นก็คือดาวดวงเก่าที่เคยได้รับการจับตาครับ แต่เมื่อช่วงเวลานั้นผ่านไปแล้ว เมื่อมีดาวดวงใหม่ขึ้นมาแทนที่แล้ว เขาก็ไม่ต่างจากดาวที่กำลังจะลับขอบฟ้า ซึ่งจริงๆ แล้วแครชน่เล่นดีนะครับ เป็นหนึ่งในคนทำคะแนนให้ทีม ไหนจะช่วยสอนมวยให้เอ็บบี้อีก แต่พอเอ็บบี้ถึงฝั่งแล้ว เขาก็ถูกคัดออกจากทีม ซึ่งก็ทำเอาแครชเสียศูนย์ไปพักหนึ่ง แต่ก็ยังดีที่ท้ายสุดแล้วเขาก็ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนจะตั้งหลักและเดินทางสายใหม่เพื่อใช้ชีวิตต่อ นั่นคือถ้าเป็นผู้เล่นไม่ได้ก็ผันตัวไปเป็นโค้ช ไปเป็นผู้จัดการทีม

ในมุมมองของผมนั้น ถ้าท่านดูหนังเรื่องนี้แล้วเข้าใจ ท่านก็จะได้เข้าใจชีวิตไปพร้อมๆ กัน เพราะมันก็ประมาณนี้น่ะครับ คนเรามักมีช่วงที่รุ่งโรนจน์เปล่งประกายฉายแสงจ้า แต่ช่วงเวลานั้นไม่ใช่เรื่องถาวร เพราะคนเรามีขึ้นก็ย่อมมีลง มีเปล่งแสงได้ก็ย่อมมีอับแสงได้ ชีวิตก็เหมือนกันครับ แต่สิ่งสำคัญก็คือเราต้องหัดที่จะรับมือกับเรื่องพวกนี้ เหมือนแครชน่ะครับ ตอนนี้เขาไม่ใช่ตัวรุ่งอีกแล้ว แม้จะเป็นตัวทำคะแนนก็ตาม แต่แทนที่เขาจะหมดอาลัยและหันหลังให้ชีวิต จนคิดเดินทางผิดไปทำเรื่องเสียหาย เขากลับเริ่มต้นตั้งหลักใหม่ หันมาทำอาชีพใหม่ และยังคงเดินต่อไป – ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นกันไป อย่างที่เขาว่านั่นแหละ

ที่ผมรู้สึกว่ามันกระแทกเข้าเบ้าตาก็เพราะมันเป็นเรื่องจริงครับ เจอมาแล้ว เคยมาแล้วทั้งจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด เจอมาแล้วทั้งช่วงเวลาดีๆ และช่วงเวลาที่สับสน มันเป็นอะไรที่เกิดได้กับทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งที่เราต้องไฮไลท์ตัวโตๆ เอาไว้เลยก็คือ “จงอยู่กับปัจจุบัน” อยู่กับที่นี่ เวลานี้ อยู่ให้รู้ว่่าเรากำลังอยู่ตรงไหน มันเป็นอย่างไร มันเกิดขึ้นเพราะอะไร และมันจะส่งผลอย่างไร

อีกหนึ่งไฮไลท์คือ “จงมีสติ” ครับ ต้องตั้งหลักยอมรับก่อนว่าเรากำลังเจอชีวิตแบบไหน กำลังเจอปัญหาแบบใด แล้วก็ค่อยๆ หาทางไปต่อ ถ้าเราเองยังตั้งหลักไม่ไหวก็หาตัวช่วย ไม่ว่าจะคุยกับเพื่อน อ่านหนังสือ ดูหนังสักเรื่อง ไปเที่ยวพักผ่อน ไปนั่งสมาธิ เลือกให้เหมาะกับจริตตน ฯลฯ และเราต้องอย่าด่วนตัดสินใจด้วยอารมณ์ครับ เพราะมันพาคนเข้ารกเข้าพงมานักต่อนักแล้ว

ยอมรับว่าระหว่างดูก็เห็นใจแครชนะ โดยเฉพาะตอนที่แอนนี่บรรยายว่า จริงๆ แล้วแครชน่ะทำสถิติบางอย่างเอาไว้ และอีกเพียงไม่กี่สิบครั้งเขาก็จะทำลายสถิติที่วงการเบสบอลเคยบันทึกไว้ แต่กลายเป็นว่าวันที่แครชทำลายสถิตินั้น ไม่มีใครรู้เลยครับ เพราะไม่มีใครมานับสถิติที่แครชทำอีกแล้ว เพราะแครชอยู่นอกสายตาใครๆ ไปแล้วไงครับ ดังนั้นแม้แครชจะทำลายสถิติจริงๆ ก็เถอะ แต่ช่วงเวลาของเขามันผ่านไปแล้วครับ ไม่มีใครสนไม่มีใครแคร์เขาอีกแล้ว – ผมเชื่อว่าหลายคนเคยเจออะไรแบบนี้ และมันอาจทำให้ท่านทดท้อใจ แต่เชื่อเถอะครับ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นเถอะ อย่ามัวจมอยู่กับสิ่งเหล่านี้ อย่าให้มันมาถ่วงชีวิตท่าน แล้วเราก็หันหน้าไปใช้ชีวิตต่อเถอะครับ

Untitled07633

และโชคดีอย่างหนึ่งของแครชก็คือ เขายังมีแอนนี่ครับ ยังมีใครสักคนที่เข้าใจ ซึ่งก็เป็นการสื่อตรงๆ ว่าการที่มีใครสักคนเข้าใจตัวเรา เข้าใจชีวิต และคอยเคียงข้างเรานั้น ถือเป็นโชคดีประการหนึ่ง

ก็ประมาณนี้นะครับ หนังบางเรื่องดูตอนอายุหนึ่งก็อาจรู้สึกแบบหนึ่ง แต่พอดูอีกทีหลายสิบปีให้หลัง พอมันผ่านอะไรมาเยอะพอ เราก็อาจจะชอบมันมากขึ้น อาจจะพยักหน้าเข้าใจความรู้สึกนึกคิดทั้งของตัวละครและคนเขียนบทหรือกำกับ และหนังที่ให้แง่มุมคิดในเชิงบวกแบบนี้ ผมอยากให้ท่านได้หาโอกาสชมกันครับ

เกร็ดที่อยากนำมาเล่าก็คือ ผู้กำกับ Shelton นั้นเคยเป็นผู้เล่นเบสบอลไมเนอร์ลีคมาก่อนครับ และบทที่เขาเขียนขึ้นก็อิงจากประสบการณ์ชีวิตของเขาเองนั่นแหละ และจริงๆ มีดาราอีกหนึ่งคนที่มาช่วยเขาร่างบทด้วยครับ เขาผู้นั้นคือ Kurt Russell เพราะ Russell ก็เคยเล่นบอสบอลมาก่อนเหมือนกัน และเขาก็อยากจะแสดงเป็นแครชครับ แต่สุดท้าย Costner ก็ได้บทไป ถึงกระนั้น Russell ก็ยังออกมาบอกว่าเขาชอบหนังเรื่องนี้มาก และยังเคยเขียนจดหมายชื่นชมการแสดงของ Costner เป็นการส่วนตัวมาแล้วด้วย

และว่ากันว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผู้สร้างอยากให้ Anthony Michael Hall มาแสดงเป็นเอ็บบี่ แต่ Shelton ค้านหัวชนฝาและยืนกรานว่ายังไงก็ต้องให้ Robbins เล่น จนถึงขั้นขู่ว่าเขาจะเดินออกจากโปรเจคท์ไปเลย แล้วในที่สุดผู้สร้างก็ต้องยอมครับ

ตัวหนังจัดว่าประสบความสำเร็จอย่างสวยงามครับ ทำเงินไปกว่า $50 ล้าน จากทุนสร้างราวๆ $8 ล้าน กำไรชัดเจนเป็นกอบเป็นกำครับ

สรุปว่าผมชอบหนังเรื่องนี้ครับ ในแง่ความบันเทิงถือว่าหนังตอบโจทย์ ส่วนเรื่องเนื้อหาสาระก็จัดว่าเหมาะสำหรับคนที่ใช้ชีวิตเลยหลัก 4 ไปแล้ว ดูแล้วท่านน่าจะเข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง และดีไม่ดีมันอาจเติบเต็มหรือไม่ก็ปลอบโยนท่านได้อีกต่างหาก

และขอแนะนำเพิ่มอีกนิดว่า ถ้าดูเรื่องนี้แล้วชอบ โปรดตามไปดูหนังอีก 2 เรื่อง อันได้แก่ Field of Dreams และ For Love of the Game ครับ รับรองท่านจะต้องชอบ.. อ้อ แล้วบวก Tin Cup ไปอีกเรื่องครับ จะได้ครบเซ็ต

สองดาวสามส่วนสีดวงครับ

Star22

(7.5/10)