
หลังดู The Misfits จบ ผมก็นั่งนิ่งๆ พักหนึ่ง พลางถามตัวเองว่ารู้สึกอย่างไรกับหนัง คำตอบที่พอจะได้มาก็คือ “ผมชอบองค์ประกอบส่วนใหญ่ของมัน”
ตัวเอกของเรื่องคือ รอสลิน เทเบอร์ (Marilyn Monroe) สาวสวยที่เพิ่งหย่ากับสามี แล้วก็มีโอกาสได้พบชายหนุ่มใหญ่มาดคาวบอยนามว่า เกย์ แลงค์แลนด์ (Clark Gable) และพวกเขาก็ตัดสินใจคบหากัน ระหว่างนั้นรอสลินก็ได้พบกับเพื่อนของเกย์อันได้แก่ เพิร์ซ ฮาวเแลนด์ (Montgomery Clift) และกีโด (Eli Wallach) ซึ่งแต่ละหนุ่มก็ดูจะต้องตาต้องใจรอสลินด้วยกันทั้งหมด แล้วเรื่องราวส่วนใหญ่ของหนังก็ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาครับ ซึ่งบางช่วงบางเวลาก็เหมือนจะเข้ากันได้ แต่บางเรื่องก็ดูจะคิดเห็นไปคนละทางจนแทบจะคุยกันไม่ได้
โดยหลักแล้วมันคือหนังดราม่าผสมโรแมนติกน่ะครับ แต่โรแมนติกในทีนี้มันไม่ได้หวานแหววหวานจ๋อย พูดง่ายๆ คือหนังไม่ได้นำเสนอแต่ด้านที่เข้ากันได้ระหว่างเกย์และรอสลินเท่านั้น แต่หนังยังนำเสนอด้านที่พวกเขาดูจะต่างกันแบบสุดๆ จนแทบจะมองหน้ากันไม่ติด ไหนจะนำเสนอให้เราได้เห็นว่าเพิร์ซและกีโดดูจะมีใจอยากให้รอสลินเลือกพวกเขาซะอีก อารมณ์ของหนังมันเลยออกแนวคล้ายๆ หนึ่งหญิงสามชายน่ะครับ ดังนั้นใครคาดหวังความโรแมนติกแบบน่ารักกุ๊กกิ๊กล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องนี้ครับ
ผมรู้สึกว่าหนังเดินหน้าไปได้ด้วยพลังดาราครับ ในแง่ของบทนั้นผมมองว่าเป็นเพียงโครงหลวมๆ เท่านั้น ที่เหลือส่วนใหญ่คือให้ดาราแสดงกันไป เพราะจะมีหลายช่วงเลยที่ผมรู้สึกว่าบทน่ะไม่ได้สำคัญอะไรหรอก แต่พฤติการณ์ของตัวละครต่างหากที่มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่อง
สำหรับผม หนังน่าติดตามเพราะการแสดงของพวกเขานี่แหละครับ Monroe ดูเป็นสาวใสอ่อนเดียงสา ดูซื่อและอ่อนโยนมากได้อย่างน่าเชื่อ ในขณะที่ Gable ก็ดูเป็นชายหนุ่มวัยดึกที่แข็งแกร่ง มีความคิดที่สุดโต่ง แต่ขณะเดียวกันในใจลึกๆ ของเขาก็มีความรวดร้าวซ่อนอยู่ จุดที่น่าสนใจในความคิดผมก็คือ พวกเขาทั้งคู่ดูมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก แต่ถ้าถามว่าดูเหมาะกันไหม? ผมก็แปลกใจนะที่จะตอบว่า พวกเขาก็ดูเหมาะกันอยู่ เหมาะท่ามกลางหลายๆ อย่างที่ต่างกันนี่แหละ
Clift กับ Wallach ถือเป็นส่วนเสริมของเรื่องราวที่เอาเข้าจริงก็เด่นไม่น้อย คาแรคเตอร์ของพวกเขาชัดเจนและน่าจดจำ ในบางมุมการมีอยู่ของพวกเขาก็คล้ายจะเป็นส่วนเกินนะครับ แต่พอดูไปถึงจุดหนึ่งเราก็จะตระหนักว่าหากขาด 2 ตัวละครนี้ไปความน่าสนใจของหนังอาจไม่มากอย่างที่เป็นอยู่นี่ก็ได้

พูดตรงๆ นะครับว่าระหว่างดูหนังเรื่องเนี้ย มันรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าองค์ประกอบหลายอย่างในหนังมันดูไม่เข้ากัน หรือไม่ก็ดูสวนทางกัน เช่น แนวและทิศทางของเรื่อง หรือบางฉากบางตอนที่ดูเหมือนจะใส่แบบเกินๆ มาโดยไม่จำเป็น แต่พอดูจนจบมันกลายเป็นรู้สึกว่าความไม่เข้ากันหรือสวนทางกันขององค์ประกอบทั้งหลายนั้น กลายเป็นความกลมกล่อมแบบแปลกๆ และกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูมีสไตล์เป็นของตัวเอง – พอเหลือบดูชื่อผู้กำกับแล้วก็เข้าใจได้ครับ หนังกำกับโดย John Huston ซึ่งลีลาของเขาก็มักจะประมาณนี้แหละ
ในแง่หนึ่งก็เหมือนหนังสะท้อนความจริงบางมุมที่ว่าด้วยการใช้ชีวิตคู่ บางครั้งชีวิตคู่ก็ราบรื่นเข้ากันได้ดี แต่บางคราคู่รักก็เหมือนลิ้นกับฟันที่มีเรื่องให้ทะเลาะเบาะแว้งขัดแย้งกันบ้าง ไม่มีคู่รักใดที่จะราบรื่นร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ มันย่อมมีทั้งด้านหวานและด้านขม มันคือเรื่องธรรมดาของการอยู่ร่วมกัน อย่าว่าแต่อยู่กันแบบแฟนเลย ต่อให้คนในครอบครัวเป็นพ่อแม่พี่น้องลูกหลานสายเลือดเดียวกันก็มีเรื่องให้ต่างกันได้ทั้งนั้น
บางทีความกลมกล่อมในชีวิตคู่ อาจไม่ใช่การเข้ากั๊นเข้ากันได้เสียทั้งหมด แต่มันคือการผสมกันระหว่างด้านที่เข้ากันได้และด้านที่ต้องใช้เวลาในการปรับเข้าหากัน
หนังเขียนบทโดย Arthur Miller ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีมันคือเรื่องสั้นที่เขาเขียนขึ้นครับ เขาเขียนในจังหวะที่กำลังจะหย่าจากภรรยาคนเก่าซึ่งก็คือ Mary Slattery และเตรียมตัวแต่งงานใหม่กับ Marilyn Monroe ในปี 1956 ดังนั้นจึงพอเข้าใจได้ที่คาแรคเตอร์ของรอสลินนั้น ก็ถูกเขียนขึ้นเพื่อ Monroe นั่นเอง แต่ชีวิตคู่ของพวกเขาก็อยู่ได้ไม่นานนักครับ พวกเขาหย่ากันในปี 1961 และในภายหลัง Monroe ก็ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเธอเกลียดตัวละครรอสลิน เธอเกลียดหนังเรื่องนี้ และเธอไม่ชอบการแสดงของเธอในหนังเรื่องนี้เลย – คงอย่างเขาว่าน่ะครับว่ายามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่ยามแยกจาก อะไรๆ ก็กลายเป็นขมไป
และแรกเริ่มเดิมทีผู้กำกับ Huston นั้นอยากได้ Robert Mitchum มารับบทเป็นเกย์ครับ แต่ Mitchum ไม่ชอบบทเอามากๆ เลยบอกปัดไป Huston เลยคุยกับ Miller ขอให้ช่วยรีไรท์บทใหม่จนกว่า Mitchum จะพอใจ แต่กลายเป็นว่าพอรีไรท์บทเสร็จ Mitchum ดันไปติดสัญญาแสดงหนังเรื่องอื่นแล้ว จนในที่สุดบทก็ตกเป็นของ Gable แทน
ยังมีข่าวลือว่า Gable กับ Wallach นั้นไม่กินเส้นกันในตอนแรก และเวลาเข้าฉากกันต่างคนต่างก็จำบทตัวเองไม่ได้ – ประมาณว่าทั้งคู่รับบทเป็นเพื่อนซี้กันน่ะครับ แต่พอชีวิตจริงไม่ถูกกัน เลยทำให้การจะแสดงว่าซี้กันเป็นปัญหา – แต่เมื่อเวลาผ่านไปพวกเขาค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน เล่นมุกตลกใส่กัน จนในที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็เริ่มโอเคขึ้นตามลำดับ
และระหว่างการถ่ายทำนั้น ทีมงานต้องเตรียมหมอเอาไว้ตลอด 24 ชั่วโมงครับ เพราะช่วงนั้นทั้ง Gable, Monroe และ Clift ต่างก็มีปัญหาสุขภาพ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยก็เลยต้องมีหมอรอพร้อมรักษาตลอด
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้หนังได้รับการจดจำค่อนข้างมาก ก็เนื่องจากนี่เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของทั้ง Gable และ Monroe ครับ โดย Gable หัวใจวายหลังหนังถ่ายทำเสร็จได้ 2 วัน และเขาก็เสียชีวิตในอีก 10 วันต่อมา ส่วน Monroe ก็เสียชีวิตเนื่องจากเสพยาเกินขนาด ในอีก 1 ปีครึ่งให้หลัง
สรุปว่าหนังเรื่องนี้อาจไม่ใช่สุดยอดแห่งผลงานของทั้งผู้กำกับและเหล่าดารา แต่ก็ถือเป็นหนังที่น่าสนใจและมีค่าควรแก่การรับชมสักรอบ ไม่แน่นะครับว่ารสชาติอันแตกต่างหลากหลายที่ผสมกันในหนังเรื่องนี้อาจทำให้ท่านชอบหนังเรื่องนี้อย่างคาดไม่ถึงก็ได้
สองดาวครึ่งครับ
![]()
(7/10)
หมวดหมู่:Drama, Movie Reviews, Recommended Movies, Romance, Western










